อิ๊งค์ชื่นชมทหาร สั่งปรับเวลาด่าน

"นายกฯ” ได้ฤกษ์เยือนชายแดนสุรินทร์ยกคณะ ทั้ง "บิ๊กอ้วน-มท.1" ติดตามสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ขอฝ่ายมั่นคงช่วยประสานด่านเปิด-ปิดสองประเทศให้เวลาตรงกัน  เพื่อประโยชน์การค้า ขอขอบคุณ "มทภ.2" อยู่หน้างานรับแรงกดดัน ฮึ่ม! สั่ง จนท.สกัดเฟกนิวส์-ไอโอปล่อยข้อมูลชายแดนทำวุ่นวาย “อิ๊งค์”  โปรยยาหอมชุดใหญ่ ยก "มท.เป็นบ้าน-ทหารคือรั้ว" ช่วยกันรักษาอธิปไตย ขณะที่ "ภูมิธรรม" ระบุมองมุมเขาพระวิหารเป็นบทเรียนบางส่วน ด้านบัวแก้วตั้งโต๊ะแถลงย้ำไม่รับอำนาจศาลโลก เดินหน้าใช้กลไกทวิภาคีสู่ทางออก ชี้เจรจา 14 มิ.ย.เรื่องเส้นเขตแดนต้องชัด

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน เวลา 09.30 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย และ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ตำบลร่อนทอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ จากนั้นเดินทางต่อด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปจังหวัดสุรินทร์ เพื่อลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

จากนั้น เวลา 11.00 น. ที่โรงพยาบาลกาบเชิง อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ น.ส.แพทองธารเป็นประธานการประชุมติดตามการคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการสนับสนุนให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัด รวมทั้งรับฟังรายงานจากผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ถึงสภาพลักษณะภูมิศาสตร์ของจังหวัดและสถานการณ์ชายแดน โดยจังหวัดสุรินทร์เป็นพื้นที่ติดต่อชายแดนติดต่อกับกัมพูชา 125 กิโลเมตร ประกอบไปด้วย 4 อำเภอ คือ บัวเชด สังขะ กาบเชิง และพนมดงรัก โดยมีด่านถาวร 1 แห่ง คือด่านช่องจอม และช่องทางธรรมชาติ 54 แห่ง

ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์รายงานว่า ก่อนหน้านี้ด่านได้เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-22.00 น.  ภายหลังจากมีมาตรการควบคุมชายแดน จะเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิด เป็นวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ เวลา 08.00-15.00 น. ซึ่งทางกัมพูชาก็มีการประกาศเลื่อนการเปิด-ปิดด่านเช่นกัน โดยเปิดเวลา 09.00 น. และปิดเวลา 16.00 น. ซึ่งจะทำให้จะมีเวลาที่เปิด-ปิดตรงกันเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้นายกรัฐมนตรีสอบถามว่า ในพื้นที่สามารถประสานได้หรือไม่ ให้เปิดเวลาตรงกัน ต้องให้ทางหน่วยงานความมั่นคงดูว่าเปิดให้เท่ากันได้หรือไม่

ด้านแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า หน่วยงานความมั่นคงจะลองประสานกับกองทัพฝ่ายกัมพูชาดู พร้อมยอมรับว่าอาจมีนัยบางอย่าง เหมือนมีลักษณะของการเมืองเล็กน้อย เพื่อชิงความได้เปรียบ และหลังจากนี้ฝ่ายความมั่นคง ผู้ว่าฯ ในพื้นที่จะมีการหารือกันต่อไป

นายกรัฐมนตรีจึงระบุอีกว่า ถ้าเรายึดถือผลประโยชน์ของประชาชน เปิด-ปิดตรงกัน จะได้ค้าขายได้เท่ากัน อันนี้จะดีกว่า ขอให้ลองดู คงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีปัญหา

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ได้มีการพูดถึงเรื่องหลุมหลบภัย ขอให้แจ้งมายังกระทรวงมหาดไทยว่าต้องการซ่อมแซมแบบไหน เพราะชีวิตเด็กๆ นักเรียนต้องให้ความรู้เมื่อไหร่ที่จะต้องใช้หลุมหลบภัย และอยากให้บรรจุอยู่ในการเรียนการสอนทุกปี ไม่จำเป็นจะต้องเฉพาะในช่วงที่มีสถานการณ์ เพื่อให้เด็กๆ ทราบเหมือนกับประเทศญี่ปุ่นว่าสถานการณ์ไหนควรใช้เมื่อไหร่

อิ๊งค์ขอบคุณ มทภ.2

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ต้องขอขอบคุณแม่ทัพภาคที่ 2 ที่อยู่หน้างานตลอด และทราบถึงแรงกดดันมากๆ เพราะตนได้ติดต่อกับกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย รวมถึงผู้นำฝ่ายกัมพูชา ได้ทราบและเห็นใจมากๆ ว่าอยู่หน้างานจริงไม่เหมือนกับตอนอยู่ข้างหลัง บางทีเกิดกระแสมากมาย คนหน้างานคือคนที่เห็นเหตุการณ์และต้องปรับตามสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด ตนถึงได้พยายามเน้นเรื่องของสันติภาพและความสงบสุข

น.ส.แพทองธารระบุว่า และได้ทราบข้อมูลจากทางหน้างาน จึงไม่อยากให้เกิดกระแสตีว่าให้เกิดความรุนแรงให้ลุย เพราะที่จริงแล้วต้องคิดถึงชีวิตของคนหน้างานว่ามีความกดดันสูงเมื่ออยู่ตรงนั้น เราเห็นอาวุธของกันและกัน เมื่อดูอาวุธดูความพร้อม หากต้องเกิดความไม่สงบจริงๆ หรือเหตุการณ์ที่รุนแรงมากขึ้นจริง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่จะเป็นเรื่องใหญ่ ตนพยายามที่จะสื่อสารเรื่องนี้ถึงความสงบสุข และเมื่อผู้นำคุยกันระหว่างนายกฯ กัมพูชา ได้เน้นย้ำเรื่องนี้ และล่าสุดที่คุยกัน ก็อยากให้ทั้งสองประเทศเกิดความสงบสุข และขอยืนยันเรื่องการรักษาอธิปไตยเอาไว้

 “ที่ผ่านมาสำคัญไม่น้อยกว่ากระทรวงกลาโหม คือกระทรวงมหาดไทย เพราะมหาดไทยคือบ้าน ทหารคือรั้ว ต้องให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าทีมในการดูแลบ้าน ซึ่งแต่ละจังหวัดต้องทำงานร่วมกัน ประสานกันว่าเกิดเหตุการณ์ใดบ้างตามแนวชายแดน และในบ้านของเรามีที่ปลอดภัยพอหรือไม่ และมีของหรือมีปัจจัย 4 พอหรือไม่สำหรับคนในบ้าน อันนี้คือเรื่องที่สำคัญ ดูเรื่องนี้เป็นสำคัญ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะเวลาเกิดเหตุการณ์ทำงานแบบบูรณาการก็จะเห็นผลที่ชัดเจนมากขึ้น” นายกรัฐมนตรีระบุ

นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า รัฐบาลให้การสนับสนุนประชาชน เจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่ และแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอะไรที่เกิดความเร่งด่วนจำเป็น ขอให้แต่ละกระทรวงรายงานตรงมายังกระทรวง เพราะทั้งสองรองนายกฯ ก็ติดต่อตรงกับตนอยู่แล้ว ยืนยันว่าพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยอยากให้ทำความเข้าใจกับประชาชนเยอะๆ ในพื้นที่ว่าทำอะไรอยู่บ้าง จะได้ให้ทุกคนเข้าใจตรงกันไม่เข้าใจผิด

 “และไม่ให้ปล่อยเฟกนิวส์ อาจจะโดนไอโอบ้างอะไรบ้าง ไม่รู้มาจากไหน ก็มีการปล่อยข้อมูลที่เกิดความเข้าใจผิดกัน อันนี้จะทำให้เกิดความวุ่นวายในสังคมได้ โดยทุกท่านที่มีตำแหน่งตรงนี้มีความน่าเชื่อถือที่สามารถติดต่อประชาชนได้ สามารถบอกได้ว่าอะไรคือเรื่องจริง ไม่เป็นเรื่องจริง อะไรที่ไม่ใช่เรื่องจริงก็ขอให้รีบแก้ ไม่อยากให้ขยายความไปมากกว่านี้ ขอให้ทุกคนทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ เป็นทีมเดียวกัน ยังไงประเทศไทยเป็นของพวกเราทุกคน เราต้องรักษาไว้และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราอย่างเต็มที่"  นายกรัฐมนตรีระบุ

ย้ำเดินหน้าเจบีซี

ด้านนายภูมิธรรม ให้สัมภาษณ์กรณีไทยประกาศไม่รับเขตอำนาจศาลโลก แต่กัมพูชามีการตั้งคณะกรรมการนำเรื่องข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาขึ้นสู่ศาลโลกว่า ไม่เป็นอะไร ต่างคนต่างทำหน้าที่ เขาจะไปฟ้องหรือไปทำอะไร ซึ่งเราไม่ได้อยู่ในอำนาจศาลโลก ไม่เป็นอะไร ก็ว่าไปตามกระบวนการ

เมื่อถามว่า จะทำให้มีปัญหาคาใจอะไรกันหรือไม่ในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ในวันที่ 14 มิ.ย. เพราะเรื่องยังไม่จบ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่หรอก  อะไรก็ตามมันยังไม่จบในทีเดียว ซึ่งต้องใช้เวลาคุยกัน เพราะแต่ละพื้นที่มันไม่เหมือนกัน อันนี้เราได้พูดคุยกันแล้วว่าเฉพาะกรณีขัดแย้งข้อพิพาทครั้งนี้ เราต้องการเคลียร์ในเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ต้องเคลียร์กันเป็นส่วนๆ ไป ซึ่งไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะเป็นข้อตกลงร่วมกัน

เมื่อถามว่า ท่าทีของกัมพูชาขณะนี้ทำให้เราต้องคงมาตรการเรื่องกำหนดเวลาเปิด-ปิดตามชายแดนไปอีกนานแค่ไหน นายภูมิธรรมกล่าวว่า  เท่าที่ได้สั่งการไป ผู้บัญชาการทหารบกและแม่ทัพภาคที่ 2 รับรู้แล้ว ซึ่งเราก็ต้องดำเนินการตามมาตรการและสภาพพื้นที่แต่ละที่ ที่ขณะนี้เรายังไม่ได้ยกระดับมาตรการใดๆ

เมื่อถามว่า แม้ว่าเราจะประกาศไม่รับเขตอำนาจศาลโลก ฝ่ายความมั่นคงมีการประเมินหรือไม่ว่าจะมีผลกระทบด้านอื่น เหมือนกรณีเขาพระวิหาร นายภูมิธรรมกล่าวว่า เขาพระวิหารก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกัน ที่อาจจะเป็นบทเรียนบางส่วนได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้ว เราจะไม่พูดถึงตรงนั้น แต่เรื่องที่เราจะมีการเจรจาเรามีการเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว แต่ไม่สามารถพูดได้

 “ตามหลักการเงื่อนไข ถ้าฟ้องฝั่งเดียวก็ฟ้องไป คนไม่ยอมรับก็ไม่ได้เข้า แต่มันจะมีเงื่อนไขอื่นๆ เช่นเงื่อนไขทางกฎหมาย ผมไม่ขอพูดตรงนี้ ให้กรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รายงาน” นายภูมิธรรมระบุ

เมื่อถามอีกว่า ได้เตรียมรับมือเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ไว้แล้วหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า  "เตรียมสิครับ ประเทศวิกฤตอย่างนี้ไม่เตรียมได้อย่างไร"

ถามอีกว่า กลุ่มของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีข้อเรียกร้องให้เปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะเจรจาในการประชุมเจบีซี นายภูมิธรรมกล่าวว่า ผู้ที่อยู่กับปัญหาและผู้ที่อยู่ในพื้นที่น่าจะรู้ดีที่สุดว่าสถานการณ์ ณ ตอนนี้เป็นอย่างไร  แล้วใครจะเหมาะสม ก็ต้องให้ส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดพิจารณา เวลานี้ไม่ใช่เรื่องใครชอบใครหรือใครไม่ชอบใคร หรือใครอยากได้อะไร แต่เป็นเรื่องของประเทศชาติ และใครจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติได้ดีที่สุด

วันเดียวกัน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทีมงานนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  หยุดพฤติกรรมที่อาจถูกตีความว่าเป็นการคุกคามสื่อมวลชน และขอให้รัฐบาลส่งเสริมเสรีภาพสื่อโดยสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นอิสระในการปฏิบัติงานของสื่อมวลชน หลังเผยแพร่ภาพสื่อมวลชนตั้งคำถามนายกรัฐมนตรี กรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา จนนำมาซึ่งปฏิกิริยาและความไม่พอใจของกลุ่มสนับสนุนนายกรัฐมนตรี

ไม่รับศาลโลกเด็ดขาด

ที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เวลา 16.30 น. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกี่ยวกับพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า วันนี้ได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเจบีซีฝ่ายไทยครั้งที่ 2 ซึ่งก่อนประชุมตนได้เชิญนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการฯ และอดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ มาหารือและมอบนโยบาย ซึ่งเป็นท่าทีของประเทศไทย เพื่อเป็นจุดสำคัญในการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ทั้งนี้ ตนได้มอบนโยบายหลักการ 4 ประการ 1.อยากให้โน้มน้าวทางฝ่ายกัมพูชาได้ตระหนักว่าเราได้แก้ไขลดความตึงเครียดในบริเวณพื้นที่ไปแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งต้องขอขอบคุณฝ่ายทหารที่ช่วยเจรจา ทำให้สามารถลดการเผชิญหน้าระหว่างสองฝ่ายได้ในระดับหนึ่ง โดยอยากขยายผลซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเจบีซีทั้งสองฝ่ายได้ขยายผลการเจรจา โดยอยากเห็นบริเวณพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขอย่างยั่งยืนและถาวร

 “ไม่มีการเผชิญหน้ากันอีก ซึ่งผมเคยเรียนแล้วว่า กลไกในการเจรจาสองฝ่ายมีทั้งเจบีซี อาร์บีซี จีบีซี ซึ่งเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด  และอยากให้ทั้ง 3 กลไกสามารถต่อยอดและขยายผลต่อไป ทั้งหมดขอเรียนว่า เป็นเรื่องที่ผู้นำของทั้งประเทศ ระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายฮุน มาเนต ได้พูดกันมาตลอด” นายมาริษระบุ

ประการที่ 2 ต้องการเห็นการเจรจาในวันที่ 14 มิ.ย.2568 นี้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเรื่องของเส้นเขตแดน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้มีความเข้าใจที่ชัดเจนร่วมกันในเรื่องของเขตแดน ว่าเขตแดนของเราอยู่ตรงไหน และแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างยั่งยืน

 “ประการที่ 3 ผมขอให้ประธานกรรมาธิการเจบีซียึดถือไว้ นั่นคือการเจรจาในเรื่องของอธิปไตยของประเทศ และจะไม่ยอมให้ประเทศไทยเสียดินแดนแม้แต่นิดเดียวโดยเด็ดขาด และยืนยันว่ากลไกในการเจรจา และการแก้ไขปัญหาระหว่างการภายใต้กรอบของการปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ มีกลไกแก้ไขปัญหาได้หลายวิธี แต่วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และในท้ายที่สุดแล้วองค์การสหประชาชาติก็มักจะขอให้ประเทศที่มีปัญหาไปเจรจากันทั้งสองฝ่ายโดยใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากที่สุด ดังนั้นเราก็จะยืนยันว่าประเทศไทยไม่ได้ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503 และจะไม่ยอมรับอำนาจนี้โดยเด็ดขาด และจะทำให้เรื่องของการแก้ไขปัญหาระหว่างกันไปใช้กรอบของการหารือทวิภาคีระหว่างกัน” นายมาริษระบุ

เมื่อถามถึงท่าทีของไทยกรณีที่กัมพูชาจะส่งเรื่องไปยังศาลโลกนั้นเป็นอย่างไร นายมาริษกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาระหว่าง 2 ประเทศมีหลายกลไก และเชื่อมั่นว่ากลไกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการเจรจาทวิภาคี

ถามอีกว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชาได้เดินสายไปคุยกับนานาประเทศ ประเทศไทยเองได้มีการหารือกับประเทศที่ 3 อย่างไรบ้าง นายมาริษกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้มีปฏิสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่แจ้งจุดยืน และอธิบายข้อเท็จจริงต่อสมาชิกอาเซียนและมิตรประเทศต่างๆ โดยเราพยายามโน้มน้าวไปว่าการแก้ไขปัญหาของเรายืนยันว่าแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี ซึ่งมีประสิทธิภาพมากที่สุด เรายังไม่มีความประสงค์ที่จะให้ประเทศอื่นๆ โดยองค์กรอื่นใดมาช่วยแก้ไขปัญหานี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อิ๊งค์' นำคณะเพื่อไทย อ้อนคนโคราช ไม่ว่าจะอยู่ในหน้าที่ไหน ก็ยินดีรับใช้ประชาชน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ สส.นครราชสีมา อาทิ นายอภิชา เลิศพชรกมล ,