ประเทศในเอเชียที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ เริ่มจะหวั่นไหวแล้ว..แม้ว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังต้องรอไปอีก 8 เดือน

ที่ต้องจับตาการประชุมสภาประชาชนของจีนสัปดาห์ที่ผ่านมาเพราะคนทั้งโลกต้องการรู้ว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้จะเป็นอย่างไร

บางครั้งผู้นำจีนก็ไม่จำเป็นต้องออกแถลงการณ์ดุดันอะไร เพื่อระงับยับยั้งวาทะของฝ่ายตะวันตก

งบประมาณกลาโหมของจีนจากคำประกาศในที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติสัปดาห์ที่ผ่านมาอาจดูเพิ่มขึ้นไม่มาก…แต่หากพิเคราะห์จากคำแถลงจากผู้นำจีน ก็จะเห็นได้ถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างแสนยานุภาพทางทหารอย่างจริงจังทีเดียว

ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส กำลังจะแสดงตนเป็นผู้นำยุโรปที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับรัสเซีย…ในยูเครน

วันก่อนเขียนถึงนโยบายรัฐบาลสิงคโปร์ที่ให้เงินอุดหนุนคนวัย 40 ขึ้นกลับไปเรียนทักษะใหม่เพื่อปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงในยุค AI

ฉากทัศน์ที่น่ากังวลวันนี้คือ: ถ้านาโตส่งทหารเข้ายูเครนเพื่อรบกับรัสเซีย จะเกิดอะขึ้น?

คนมะกันมีทางเลือกคนที่จะมาเป็นประธานาธิบดีแค่สองผู้เฒ่าอย่างนั้นหรือ?

ถ้าเราจะช่วยให้คนไทยแปร “ภัยคุกคาม” อันเกิดจากเทคโนโลยีเป็น “โอกาส” ก็ต้องมีการฝึกทักษะใหม่ให้แก่คนที่มีหน้าที่การงาน ที่อาจจะถูกทดแทนโดยวิทยาการสมัยใหม่

ชื่อของ Transnistria โผล่มาเป็นข่าวในช่วงนี้เพราะเกิดความเคลื่อนไหวขอให้รัสเซียมา “ปกป้อง” ตนจากภัยคุกคามของประเทศ Moldova

ยิ่งวันการสู้รบในเมียนมาก็ยิ่งขยับเข้าไปในจุดที่ตั้งของประชาชนเพราะฝ่ายกองทัพพม่ากำลังเพลี่ยงพล้ำ และต้องการจะกดดันให้ฝ่ายต่อต้านยอมถอยออกจากแนวรบที่กำลังได้เปรียบฝ่ายทหารประจำการ

เข้าสู่ปีที่ 3 ของสงครามยูเครนตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ความตึงเครียดก็ถูกยกระดับทันที

นายกฯอันวาร์ อิบราฮิมของมาเลเซียกำลังพยายามจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ถูกกระทบจากหลายปัจจัย ไม่ต่างกับที่อีกหลายประเทศรวมถึงไทยต้องเจออยู่

เป็นอันครบสูตร…ตระกูล “ฮุน” ของกัมพูชา ที่ได้ยึดครองตำแหน่งสำคัญๆ ทั้งในรัฐบาล, สภา และกองทัพเรียบร้อย

และแล้วสงครามยูเครนก็เดินทางด้วยความยากลำบากมาครบ 2 ปี

การที่มิน อ่องหล่ายต้องประกาศเกณฑ์ทหารจนสร้างความแตกตื่นไปทั่วประเทศมีสาเหตุมาจากความเพลี่ยงพล้ำในสนามรบที่ฝ่ายต่อต้านเริ่มจะรุกคืบอย่างหนักหน่วงตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา

คลื่นคนหนุ่ม-สาวพม่ากำลังจะหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง เป็นการ “หนี” ระลอกที่สองนับตั้งแต่รัฐประหารเมื่อ 3 ปีก่อน

เมื่อวานเขียนถึงประเด็นอุตสาหกรรมย้ายจากจีนไปอินเดียเมื่อเกิดสถานการณ์ที่สหรัฐฯกับจีนใช้นโยบาย de-risk หรือ “ลดความเสี่ยงของกันและกัน” เพื่อเอาชนะคะคานกันในเวทีระหว่างประเทศ

เมื่อสหรัฐกับจีนใช้นโยบาย de-risk คือ ‘ลดความเสี่ยงต่อกันและกัน’ ก็แปลว่า 2 ยักษ์จะลดการไปมาหาสู่กันด้านเศรษฐกิจ…คำถามที่ประเทศไทยควรถามทันทีก็คือ…ใครจะสามารถฉวยจังหวะนี้สร้างโอกาสให้กับตัวเอง

หลายประเทศแจกเงินให้ประชาชนเพื่อช่วยกลุ่มคนเปราะบาง…แต่ไม่ได้กู้มาแจก และไม่ต้องทำดิจิทัลวอลเล็ตให้ยุ่งยาก