WHO ชี้ 'โอมิครอน' ไม่ได้ดุกว่าสายพันธุ์อื่น เชื่อวัคซีนที่มีรับมือไหว

ใจชื้นขึ้นหน่อย ผู้บริหารโครงการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขขององค์การอนามัยโลกและผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ชั้นนำของสหรัฐเผยกับเอเอฟพีว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนไม่ได้เลวร้ายกว่าสายพันธุ์อื่นๆ หรือก่อโรครุนแรงกว่า และเชื่อว่าวัคซีนที่มีอยู่ยังป้องกันได้

รายงานเอเอฟพีเมื่อวันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 กล่าวว่า การประเมินที่ให้ความหวังนี้มีออกมาหลังจากทั่วโลกวิตกกังวลกันมากขึ้นเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่มีการกลายพันธุ์มากกว่า 30 ตำแหน่งในส่วนของโปรตีนหนาม ซึ่งทำให้หลายสิบประเทศกลับไปใช้ข้อกำหนดควบคุมพรมแดนอีกครั้ง และเพิ่มความเป็นไปได้ของการกลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่ทำร้ายเศรษฐกิจ

ไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารโครงการแผนฉุกเฉินด้านสาธารณสุขขององค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ซึ่งเป็นผู้บริหารอันดับสองขององค์การนี้ ให้สัมภาษณ์เอเอฟพีเมื่อวันอังคาร กล่าวถึงโอมิครอนว่า แม้มีความเป็นไปได้ที่สายพันธุ์นี้จะแพร่เชื้อได้มากขึ้นกว่าสายพันธุ์ก่อนๆ แต่ข้อมูลเบื้องต้นที่มีชี้บ่งชี้ว่า โอมิครอนไม่ได้ทำให้ผู้ติดเชื้อป่วยรุนแรงกว่าเดลตาหรือสายพันธุ์อื่นๆ "จะว่าไปแล้ว แนวโน้มไปในทางรุนแรงน้อยลง" เขากล่าว พร้อมกับย้ำว่ายังจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม

ไรอันกล่าวด้วยว่า ยังไม่พบสัญญาณที่บ่งชี้ว่าโอมิครอนสามารถหลบหลีกการป้องกันของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างสิ้นเชิง

"เรามีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง ที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการต่อต้านไวรัสทุกสายพันธุ์ถึงขณะนี้ ในแง่ของการป่วยรุนแรงและการรักษาในโรงพยาบาล ไม่มีเหตุผลให้คาดหมายว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น" กับโอมิครอน เขากล่าวโดยอ้างข้อมูลเบื้องต้นจากประเทศแอฟริกาใต้ที่พบสายพันธุ์นี้ครั้งแรก แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า มีความเป็นไปได้ที่วัคซีนที่มีอยู่อาจจะมีประสิทธิภาพน้อยลงกับไวรัสโอมิครอนที่มีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่งมาก ซึ่งทำให้มันสามารถบุกรุกเข้ามาในเซลล์ได้

ด้านแอนโทนี เฟาซี นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของสหรัฐ สะท้อนมุมมองในแบบเดียวกับดับเบิลยูเอชโอ โดยกล่าวกับเอเอฟพีว่า โอมิครอนไม่ได้เลวร้ายไปกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้ โดยอ้างอิงจากสิ่งบ่งชี้เบื้องต้น และเป็นไปได้ว่าอาจเบากว่าด้วย

นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อของสหรัฐผู้นี้ยอมรับว่า โอมิครอนสามารถแพร่เชื้อได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด น่าจะมากกว่าเดลตาซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบส่วนใหญ่ในโลกขณะนี้ แต่ "เกือบจะแน่นอนว่ามันไม่ได้รุนแรงกว่าเดลตา" เฟาซีเสริม "มีข้อชี้แนะบางอย่างว่ามันอาจรุนแรงน้อยกว่าด้วย"

กระนั้น เฟาซีให้ข้อสังเกตว่า สิ่งสำคัญคือต้องไม่ตีความข้อมูลเกินเลย เพราะประชากรในกลุ่มที่เฝ้าติดตามนี้ค่อนข้างเป็นคนหนุ่มสาวและมีความเป็นไปได้น้อยกว่าที่จะต้องรักษาในโรงพยาบาล โรครุนแรงอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการก่อตัว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หมอกควันไฟป่าฝุ่น pm2.5 ภาคเหนือพุ่งปรี๊ด! เชียงใหม่ ครองที่ 1 โลกต่อเนื่อง

ปํญหาหมอกควันไฟป่าฝุ่น pm2.5 ภาคเหนือยังพุ่งสูงเป็นสถิติทุกวัน เชียงใหม่ AQI ครองที่ 1 โลกต่อเนื่อง PM2.5 เกินมาตรฐานทุกจุด

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริง 'ลิ่มเลือดสีขาว' ไม่เกี่ยวฉีดวัคซีนโควิด

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่อง ลิ่มเลือดสีขาว (White clot) และวัคซีนโควิด 19 ชนิด mRNA จากกรณีที่มีการเผยแพร่และส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับการพบสิ่งแปลกปลอมซึ่งมีลักษณะเป็นลิ่มเลือดสีขาว (White clot) ในหลอดเลือดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19