ย้อนรอยตั้ง 'พล.ร.7-พล.ม.3'

แผนรุกหนักในการ “ปฏิรูปกองทัพ”ที่ประกาศไว้ในนโยบายของพรรคก้าวไกลและพร้อมเดินหน้าต่อเมื่อเป็นรัฐบาล     แม้ไม่ได้มีปฏิกริยาใดๆ จากฝั่งฝากกองทัพ รอเพียงเวลาที่จะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลว่าได้ดำเนินการเรื่องใดไปแล้วบ้าง แต่ในการประชุมสภากลาโหมที่ผ่านมา ได้มีการหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาพูดกัน ปมประเด็นคือการให้เหล่าทัพนำเรื่องราวที่ได้ดำเนินการนั้นไปสร้างการรับรู้ต่อสังคม

โดย พ.อ.จิตนาถ ปุณโณทก รองโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงว่า ที่ประชุมมีมติให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ สร้างการรับรู้และความเข้าใจอันดีให้กับประชาชนในทุกภาคส่วน ได้ทราบถึงภารกิจ หน้าที่ ความรับผิดชอบและการดำเนินการที่สำคัญของกระทรวงกลาโหมที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมกำลังการใช้กำลัง เพื่อสร้างความพร้อมให้กับกองทัพให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปรับปรุงโครงสร้าง ให้มีขนาดกะทัดรัด คล่องตัว ทันสมัย เช่น การยุติแผนการเสริมสร้างกองพลทหารราบที่ 7 (พล.ร.7 ) -กองพลทหารม้าที่ 3  (พล.ม.3)ของกองทัพบก การปรับลดกำลังทหารพรานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 1,656 อัตรา ประหยัดได้ 600 ล้านบาท

ย้อนกลับไป เมื่อปี 2553 กระทรวงกลาโหมได้ประเมินภัยคุกคามด้านทิศตะวันตกของประเทศไทย ตามแผนยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ พ.ศ.2553 ของหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศไทย มองว่า สถานการณ์การเมืองในประเทศเพื่อนบ้านเริ่มมีความเข้มแข็ง และมีเสถียรภาพอย่างมาก มีการพัฒนากองทัพ มุ่งเน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถการรักษาความมั่นคงภายใน และการปกป้องทรัพยากรชายฝั่ง โดยให้ความสำคัญกับระบบป้องกันภัยทางอากาศสำหรับเมืองหลวงใหม่ กรุงเนปิดอ

ทำให้วันที่ 22 มีนาคม 2553 สมัยที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้อนุมัติให้กระทรวงกลาโหมจัดบรรยายสรุปเรื่องการพัฒนากองทัพของประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงความจำเป็นในการพัฒนากองทัพไทยให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในตอนนั้น และคณะคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบ  โดยทางนายอภิสิทธิ์ได้รับทราบแผนการจัดตั้ง กองพลทหารราบที่ 7 (พล.ร.7) โดยเริ่มให้มีที่ตั้ง บก. และร้อย บก.พล.ร.7 ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน  พร้อมทั้งให้กองทัพบกปรับโอนการบังคับบัญชา กรม ของ พล.ร.4 มาเป็นฐานในการจัดตั้งหน่วยก่อน เพื่อให้มีความเป็นไปได้ทางด้านงบประมาณ จากนั้นจึงพิจารณาจัดตั้งหน่วยเพิ่มเติมตามความจำเป็นด้านยุทธการ และสถานภาพด้านงบประมาณต่อไป

จนกระทั่ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้จรดปากกาเซ็นคำสั่ง ทบ. ที่ 9/54 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2554 เรื่องการจัดตั้ง พล.ร.7 ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของกองพลรบพิเศษที่ 2 พร้อมโอนหน่วยหน่วยรบคือ กรมทหารราบที่ 7 (ร.7), กรมทหารราบที่ 17 (ร.17), กองพันทหารทหารปืนใหญ่ที่ 7 (ป.พัน 7), กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 17 (ป.พัน 17) ซึ่งหน่วยทั้งหมดโอนมาจากกองพลทหารราบที่ 4 (พล.ร.4) “ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” จ.พิษณุโลก มาเป็นหน่วยขึ้นตรงต่อ พล.ร.7 ในระยะแรก  โดยห้วงเวลาในการจัดตั้งมีทั้งหมด 5 ระยะโดยสิ้นสุดในปี 2568

แต่ด้วยเป็นจังหวะที่กองทัพบกตั้งจัดตั้ง 2 กองพลในเวลาใกล้เคียงกัน คือ พล.ม.3 ด้วย ทำให้การจัดตั้งไม่เดินไปตามแผนที่สมบูรณ์ ทำให้ต้องถอน ร.7 กลับไปขึ้นตรงกับ พล.ร.4 เหมือนเดิม เหลือแค่ ร.17  เพียง 1 กรม ตั้งอยู่ จ.พะเยา จัดอัตราและเกลี่ยกำลังลได้ 3กองพัน  รับภารกิจที่ ทบ.มอบหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำหน้าที่เป็นกองพันยุทธศาสตร์ และฝึกกำลังสำรอง 

ส่วนการจัดตั้ง พล.ม.3  ค่ายเปรมติณสูลานนท์ จ.ขอนแก่น  เป็นการเสนอแนวคิดมานานแล้ว แต่เป็นรูปเป็นร่างหลังเหตุการณ์เขาพระวิหาร  โดย “พ่อม้า“อย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีผู้ล่วงลับ  เป็นผู้ผลักดันเรื่องดังกล่าวมาตลอดเนื่องจากเห็นว่าด้านตะวันออก ยังไม่มีกองพลทหารม้า  และได้เคยสอบถามเรื่องนี้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหมและเข้ามาอวยพรวันเกิดว่า

“เรื่องนี้ พล.อ.ประวิตร ควรจะรับทราบ ทราบว่าติดอยู่ที่การพิจารณาของสถาบันวิชาการทหารชั้นสูงมาปีกว่าแล้ว มันเสียเวลามาหลายปี ก่อนที่เราจะตาย อยากจะเห็นและเป็นห่วงเรื่องนี้ ขอให้ช่วยกัน ขอให้เราตายอย่างสบายจะได้เห็นว่ามีพกงอพลทหารม้าขึ้นมาอีก 1 กองพล ตอนนี้กรมทหารม้าที่ 6 มีอยู่ 3 กองพัน คือ ม.พัน .6  ม.พัน.4  และ ม.พัน 15 ซึ่งตั้งแล้วได้ 1 กรม ทั้ง 3 กองพัน นี้สามารถแยกออกเป็น 1 กรม ได้แล้ว คิดว่าไม่น่ายาก “พล.อ.เปรม กล่าว

จากนั้น ไม่นานกองพลทหารม้าที่ 3 ก็ได้รับการอนุมัติจาก ครม.  จุดประสงค์หลักคือการจัดตั้งกองพลทหารม้าเพื่อสนับสนุนกำลังของ กองทัพภาคที่ 2ในพื้นที่พรมแดนด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะเวลาของโครงการ 10 ปี งบประมาณ 1,5 พันล้านบาท มีการเสริมสร้าง 2 กรมทหารม้า ประกอบด้วย  2กองพันรถถัง หนึ่งในนั้นคือ VT-4 ซึ่งจัดซื้อจากจีน พร้อมกันนั้นได้มีการเกลี่ยอัตรากำลังพลจากหน่วยทหารม้าภาคอีสานให้ครบอัตราการจัด

แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณทำให้การขยาย พล.ม.3 ดังกล่าวหลังครบ10 ปีต้องยุติลงไปโดยปริยาย  และ ทบ.เห็นว่า  ศักยภาพของหน่วยเหมาะสมสอดคล้องกับภัยคุกคามที่มีอยู่ โดยมีการปรับโครงสร้างให้เป็นกองพันยุทธศาสตร์เน้นการฝึกกำลังสำรองในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเช่นกับ พล.ร.7

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ผบ.ทบ.' นำ 211 นายพล ถวายสัตย์ฯ ปกป้องสถาบัน จนกว่าชีวิตจะหาไม่

'ผบ.ทบ.' นำ 211 นายพล ที่ได้รับพระราชทานยศสูงขึ้น ถวายสัตย์ปฏิญาณตน กล่าวคาถาในดวงตรามหาจักรี รักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ธำรงเกียรติยศศักดิ์ศรีทหาร

ผบ.ทสส.-ทภ.1 คนใหม่ ย้ำภารกิจเทิดทูนสถาบัน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ดูแลประชาชน

มีการส่งมอบหน้าที่ผู้นำกองทัพหลายหน่วย เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้าเวลา 8.00 น.ที่กองบัญชาการกองทัพไทย ถ.แจ้งวัฒนะพล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ได้ส่งมอบหน้าที่ ให้ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี โดย พล.อ.เฉลิมพล

'บิ๊กทิน' ยิ้มร่า! คุมกลาโหมสุขทุกวัน ยกทหารฮีโร่ในดวงใจ

'บิ๊กทิน' ฟุ้งนั่งเก้าอี้ รมว.กห. 10วัน สุขขึ้นเรื่อยๆ เจอเรื่องหนักไม่เกินคาด ชมเปาะทหารผ่านศึกฮีโร่ในดวงใจ ต้องดูแลอย่างดีช่วงบั้นปลายชีวิต เล่าวัยเด็กฝันอยากเป็นทหาร

'เศรษฐา' ย้ำค้านรัฐประหาร แต่ไม่ใช่ต้องไม่คุยกับทหาร เพราะอย่างไรก็ต้องทำงานร่วมกัน

'เศรษฐา' ย้ำค้านรัฐประหารแต่ไม่ใช่ต้องไม่คุยกับทหาร อย่างไรก็ต้องทำงานร่วมกัน ยืนยันไม่กลัวไม่เกรงใจ เราอยู่ด้วยกันอย่างผู้ใหญ่ พูดจากันด้วยเหตุผล

'เศรษฐา' จัดหนัก วปอ. บุคคลพิเศษอภิสิทธิ์ชน สร้างคอนเน็คชั่นเพื่อตัวเอง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อยู่ในวงล้อมของทหารเป็นครั้งแรก โดยมาเป็นประธานการแถลงผล

'สุทิน-รมว.กลาโหม' ร่วมเวทีวิชาการม.รังสิต เผยภัยคุกคามใหม่ 9 ด้าน

นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมเวทีวิชาการ นำเสนอ และรับฟังรายงานหัวข้อความมั่นคงไทยในระเบียบโลกใหม่