ค่าไฟกับต้นทุนภาคเอกชน

ส่งเสียงร้องระงมกันไปหมดสำหรับภาคเอกชน ที่ล่าสุดกำลังจะต้องเผชิญกับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้ไฟฟ้า

หลังจากที่ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. มีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ประจำงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2566 อยู่ที่อัตรา 190.44 สตางค์ต่อหน่วย สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทเอกชน ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม การค้า การเกษตร การบริการทั้งหมด ทั้งกิจการขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ โรงแรม กิจการไม่แสวงหากำไร สูบน้ำเพื่อการเกษตร ไฟฟ้าชั่วคราวระหว่างก่อสร้าง ก็จะถูกเรียกเก็บค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่อัตรา 5.69 บาทต่อหน่วย

โดยเหตุผลในการขึ้นค่าไฟในครั้งนี้ ทาง กกพ.ให้เหตุผลว่ามาจากต้นทุนราคาเชื้อเพลิงที่ต้องนำเข้ามาทดแทนการลดลงของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและก๊าซธรรมชาติในสหภาพเมียนมา และภาระการทยอยจ่ายคืนหนี้เอฟทีให้ กฟผ. โดยส่วนนี้ให้ใช้ราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas ส่วนเหลือ) ในราคา 542 บาทต่อล้านบีทียู ทดแทนราคาก๊าซธรรมชาติเดิม

แน่นอนหลังมีมติดังกล่าวออกมาก็มีเสียงร้องจากภาคเอกชนว่า การปรับขึ้นค่าเอฟทีในครั้งนี้ส่งผลรุนแรงเกินไป โดยในส่วนของนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การขึ้นค่าเอฟทีในครั้งนี้จะกดดันให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าโดยเฉลี่ยราว 5-12% ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ที่กำลังย้ายฐานท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย โดยเฉพาะคู่แข่งจากเวียดนามที่ค่าไฟเพียง 2.88 บาท/หน่วย ทำให้ความสามารถในการดึงดูดนักลงทุนลดลงไปอีก      

อย่างไรก็ดีมีหลายคนยังคงไม่รู้ว่าค่าไฟฟ้าของไทยสูง ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตอย่างไร ล่าสุดสำนักวิจัย Krungthai COMPASS ก็มีการคำนวณชัดเจนว่า ค่าไฟฟ้าเอกชนที่จะถูกเรียกเก็บที่ราคาเฉลี่ย 5.57 บาท/หน่วยไฟฟ้า จะส่งผลต่ออัตรากำไรสุทธิของอุตสาหกรรมการผลิตในภาพรวม คาดลดลงราว 0.03% โดยทุก 1% ของค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น เช่น อุตสาหกรรมผลิตเคมีภัณฑ์ ซึ่งประเมินว่าอัตรากำไรของผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะลดลงราว 0.04%-0.14% หากค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 1%

ซึ่งแนวโน้มทิศทางค่าไฟยังคงเป็นขาขึ้น ทางกรุงไทยก็มีข้อแนะนำว่าผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการผลิตจึงควรปรับตัว เพื่อลดผลกระทบจากค่าไฟฟ้า ดังนี้ 1.ควรติดตั้ง Capacitor Bank ในระบบจ่ายไฟฟ้าของหม้อแปลง ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าถึง 46% 2.ควรติดตั้ง Solar Cell ที่มีกำลังการผลิตเท่ากับปริมาณใช้ไฟฟ้าทั้งหมด และติดแบตเตอรี่ Lithium (ESS) เพราะ ESS ช่วยกักเก็บไฟฟ้าส่วนเกินในช่วงเวลาที่มีความเข้มแสงเพียงพอเพื่อใช้ในช่วงเวลาอื่น จึงทำให้ได้รับผลประโยชน์จากการติดตั้ง Solar Cell มากที่สุด

 ขณะเดียวกันในส่วนของภาคการเมืองเอง ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยก็มีการเสนอในการตรึงค่าไฟฟ้าออกไปก่อน โดยเชื่อว่าหลังฤดูหนาวและภาวะเศรษฐกิจถดถอยน่าจะทำให้ราคาพลังงานลดลง และข้อต่อมาคือ เสนอให้รัฐบาลต้องเข้าไปเจรจาหาข้อยุติในกรณีพิพาทเรื่องการส่งมอบสัมปทานในพื้นที่อ่าวไทย เพื่อให้การนำก๊าซขึ้นมาใช้ผลิตไฟฟ้าไม่หยุดชะงัก ข้อเสนอที่ 3 คือเจรจาลดค่าความพร้อมของโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้ว แต่ไม่ได้จ่ายไฟฟ้า เพราะมีกำลังผลิตเกินความต้องการมาก 4.หยุดการให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าทุกชนิด จนกว่าความต้องการไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น และ 5.เร่งเจรจาแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้ในราคาที่ถูกลง

ทั้งหมดทั้งมวลนี่คือเรื่องค่าไฟฟ้า ที่ภาคเอกชนจำเป็นต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้.

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเกรดอุตฯเหล็กรับมาตรการCBAM

การเดินหน้ามาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) นั้น ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวอย่างมากของกลุ่มผู้ผลิต

'หนี้ครัวเรือน'แนวโน้มชะลอแต่สัดส่วนยังสูง

“หนี้ครัวเรือน” เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายจับตา โดยจากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ที่ระบุว่า ภาพรวมหนี้ครัวเรือนไทย ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท

เศรษฐกิจไทยจะไปทางไหนต่อ

ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยเวลานี้เหมือนคนป่วยโรคเรื้อรัง ที่อาการแค่ดีขึ้นเล็กน้อย แต่รักษายังไม่หายขาด ส่งผลให้การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ยังคงติดๆ ขัดๆ นับตั้งแต่ผ่านพ้นจากวิกฤตโควิดมากว่า 2 ปี

ไทยจะเป็นฮับเอทานอล

ประเทศไทยหลังจากที่ผลัดเปลี่ยนรัฐบาลชุดนี้ ก็ตั้งเป้าการทำงานที่หลากหลายและแปลกตามากขึ้น แน่นอนว่าหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแล

เดินให้สุดทำอย่างจริงจัง

ปัจจุบันพบปัญหาถังก๊าซหุงต้มในท้องตลาดเสื่อมสภาพและหมดอายุตกค้างอยู่ในระบบจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการลักลอบนำถังก๊าซหุงต้มมาเติมในสถานีบริการ LPG เป็นระยะ ซึ่งนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว

ดันสงกรานต์ไทยสู่เทศกาลโลก

หลังจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงมหาดไทย จับมือจัดงาน “Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567”