ถึงเวลาซื้อรถอีวี

หลังจากง้างมานาน ในที่สุดรัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติชัดเจนอนุมัติแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (รถอีวี) ซึ่งรายละเอียดของมาตรการแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ มาตรการระยะแรก ตั้งแต่ปี 2565-2566 รัฐบาลจะมีมาตรการสนับสนุนทั้งรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ (CKD) และรถยนต์ที่นำเข้าทั้งคัน (CBU) โดยลดอัตราภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิต ส่วนมาตรการระยะกลาง ตั้งแต่ปี 2567-2568 จะลดภาษีเฉพาะรถยนต์ที่ประกอบในประเทศ

สำหรับมาตรการระยะแรกให้นำเข้ารถ CBU/CKD เพื่อสนับสนุนการทดลองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ คือ รถยนต์ที่นำเข้าแบบ CBU ที่ได้รับสิทธิ์จะต้องมีราคาขายปลีกแนะนำดังนี้ ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ลดอากรสูงสุด 40% ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% ซึ่งแบ่งตามความจุแบตเตอรี่ พ่วงด้วยเงินอุดหนุน 70,000 บาท

สำหรับความจุแบตเตอรี่ 10-30 kWh และเงินอุดหนุน 150,000 บาท สำหรับความจุแบตเตอรี่มากกว่า 30 kWh ราคา 2-7 ล้านบาท ลดอากรสูงสุด 20% สำหรับความจุแบตเตอรี่มากกว่า 30 kWh ส่วนรถกระบะ ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ลดภาษีสรรพสามิต 0% และเงินอุดหนุน 150,000 บาท แบตเตอรี่มากกว่าหรือเท่ากับ 30 kWh

ส่วนระยะกลาง (2567-2568) อนุญาตให้นำเข้าชิ้นส่วน CKD เพื่อส่งเสริมการผลิตในประเทศ โดยรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องมีราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท อากรขาเข้าชิ้นส่วน BEV 0% ลดภาษีสรรพสามิต 8% เหลือ 2% พ่วงด้วยเงินอุดหนุน 70,000 บาท สำหรับความจุแบตเตอรี่ 10-30 kWh และเงินอุดหนุน 150,000 บาท สำหรับความจุแบตเตอรี่มากกว่า 30 kWh ส่วนราคา 2-7 ล้านบาท อากรขาเข้าชิ้นส่วน BEV 0% มากกว่าหรือเท่ากับ 30 kWh

ส่วนรถกระบะ ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท อากรขาเข้าชิ้นส่วน BEV 0% ลดภาษีสรรพสามิต 0% และเงินอุดหนุน 150,000 บาท แบตเตอรี่มากกว่าหรือเท่ากับ 30 kWh

ทั้งหมดคือ มาตรการที่รัฐออกมาส่งเสริม ซึ่งแน่นอนมันคือจุดเริ่มต้นของการสร้างอุตสาหกรรมรถยุคใหม่ ที่กำลังจะเปลี่ยนยุคจากเครื่องยนต์สันดาปมาเป็นรถขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า

แน่นอน มาตรการนี้กระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ขณะเดียวกันก็หนุนให้ค่ายรถยนต์ต้องปรับตัว ซึ่งมีการประเมินคร่าวๆ ว่าในช่วงแรกน่าจะเป็นการแข่งขันของค่ายรถยนต์ 3 ค่าย จีน 2 ญี่ปุ่น 1 นั่นก็คือ MG, GWM และนิสสันจากญี่ปุ่น เนื่องจากทั้ง 3 ค่ายนี้ มีสินค้าที่พร้อมขายแล้วในตลาด ซึ่งมีการประเมินว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่จะขายจะมีราคาราว 8-1.2 ล้านบาท ซึ่งอาจจะเป็นราคาที่ยังพอจับต้องได้ สำหรับประชาชน ส่วนเจ้าตลาดอย่างโตโยต้าหรือฮอนด้าอาจจะเห็นรถยนต์ไฟฟ้าของค่ายนำเข้ามาขายในช่วงปลายปี

ทั้งนี้ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิตให้สัมภาษณ์ว่า หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ ทางกรมฯ จะมีการลงนามสัญญาความร่วมมือกับค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการได้ในช่วงเดือน มี.ค.65 โดยในปีแรกจะใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาทเพื่ออุดหนุน และหากมีความต้องการมากกว่านั้นจะมีการพิจารณาขอขยายกรอบงบประมาณอีกครั้ง ส่วนวงเงินที่เหลืออีก 40,000 ล้านบาท ครม.ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นผู้จัดหาแหล่งงบประมาณ ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายว่าในปี 2573 ต้องมีการผลิตรถยนต์อีวี 30% ของกำลังการผลิตรถน้ำมัน

ขณะที่โบรกเกอร์อย่างบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) โดยนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ชี้ว่า มาตรการนี้มีเป้าหมายจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้รถอีวีประมาณ 3 แสนคัน ในระยะเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2565 ทำให้หุ้นที่ได้อานิสงส์เชิงบวกมีตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ ผู้นำเข้า ผู้ขนส่ง ผู้ผลิตอุปกรณ์ต่างๆ ผู้ให้บริการสถานีชาร์จแบตเตอรี่ และผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวในตลาดรวม อาทิ หุ้นอีเอ ปตท. โออาร์ โดยจะเห็นว่าราคาปรับขึ้นมาตอบรับปัจจัยบวกดังกล่าวได้ค่อนข้างดี ซึ่งในระยะสั้นจะเห็นหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ธุรกิจนำเข้า ขนส่ง ท่าเรือ บวกขึ้นและสร้างบรรยากาศให้ดูดีนำไปก่อน จากนั้นในระยะยาวจะได้เห็นอานิสงส์เชิงบวกกับหุ้นที่เป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศได้จริง แต่มองว่าอาจต้องใช้เวลาสัก 1-2 ปีต่อจากนี้

ใครที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าสำหรับเป็นทางเลือกของรถคันต่อไป มาตรการนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อ และเชื่อว่า งาน Motor Show 2022 ที่จะจัดขึ้นในช่วง 23 มีนาคม-3 เมษายนนี้ จะเป็นงานที่รถไฟฟ้าคึกคักที่สุด.

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จับตาบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง

ช่วงนี้หลายคนกำลังสงสัยว่าเพราะเหตุใดค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าเอา อ่อนค่าเอา ตอนนี้ราคาหลุดทะลุ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว แม้จะมีการแกว่งตัวแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า

Digital Walletกระตุ้นค้าปลีกไม่แรง

“โครงการ Digital Wallet” เรียกว่ามีความชัดเจนจากฝั่งรัฐบาลพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักเกณฑ์ เงื่อนไขทั้งในส่วนของประชาชนและร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการ รวมไปถึงแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ แต่ก็ต้องยอมรับว่าความชัดเจนในส่วนนี้ก็ยังมีการตั้งคำถาม ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะเร่งหาวิธีการเพื่อพิสูจน์ความชัดเจน และเดินหน้าโครงการตามขั้นตอนและวิธีการภายใต้กรอบของกฎหมายที่ได้ยืนยันมาโดยตลอด

อัปเกรดอุตฯเหล็กรับมาตรการCBAM

การเดินหน้ามาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) นั้น ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวอย่างมากของกลุ่มผู้ผลิต

'หนี้ครัวเรือน'แนวโน้มชะลอแต่สัดส่วนยังสูง

“หนี้ครัวเรือน” เป็นประเด็นที่หลายฝ่ายจับตา โดยจากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ที่ระบุว่า ภาพรวมหนี้ครัวเรือนไทย ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท

เศรษฐกิจไทยจะไปทางไหนต่อ

ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยเวลานี้เหมือนคนป่วยโรคเรื้อรัง ที่อาการแค่ดีขึ้นเล็กน้อย แต่รักษายังไม่หายขาด ส่งผลให้การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ยังคงติดๆ ขัดๆ นับตั้งแต่ผ่านพ้นจากวิกฤตโควิดมากว่า 2 ปี

ไทยจะเป็นฮับเอทานอล

ประเทศไทยหลังจากที่ผลัดเปลี่ยนรัฐบาลชุดนี้ ก็ตั้งเป้าการทำงานที่หลากหลายและแปลกตามากขึ้น แน่นอนว่าหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแล