ควรฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นอีกมั้ย? 'ศูนย์จีโนมฯ' มีคำตอบ

23 มิ.ย. 2566 – ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เราควรยุติการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อป้องกันโควิด-19 กันแล้วหรือไม่ วัคซีนโควิด-19 โมโนวาเลนต์, ไบวาเลนต์, และไตรวาเลนต์ ต่างกันอย่างไร

คำถามที่ว่า “เรายังควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (booster shot) เพื่อป้องกันโควิด-19 กันอยู่อีกหรือไม่”

คำตอบจากองค์การอนามัยโลก (WHO), องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) และองค์กรด้านสาธารณสุขของจีน รวมทั้งงานวิจัยที่ศูนย์จีโนมฯ ดำเนินการร่วมกับ รพ.รัฐและเอกชน เพื่อศึกษาธรรมชาติของโควิด-19 จากอาสาสมัคร 15,171 คนในเขตพื้นที่ความเสี่ยงสูงในประเทศไทย ตลอด 3 ปีภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) บ่งชี้ว่า “ยังมีความจำเป็นที่ต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง 608” กล่าวคือผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป, ผู้ที่มีโรคประจําตัว, และกลุ่มผู้หญิงตั้งครรภ์ เพราะกลุ่มนี้หากติดเชื้อโควิดจะมีอาการรุนแรงและเป็นอันตรายมาก ทั้งนี้ในปัจจุบันจากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมยังไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ ให้เห็นว่าวิวัฒนาการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกมีการชะลอตัวหรือลดลง ยังคงมีความสุ่มเสี่ยงที่จะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ร้ายแรงอยู่ตลอดเวลา

คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีการติดเชื้อโอมิครอน XBB แบบไม่แสดงอาการ (asymptomatic infection) ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันในอดีตและการติดเชื้อตามธรรมชาติ ทำให้หลายคนไม่ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเนื่องจากไม่เห็นความจำเป็น หรือจากความกังวลใจในเรื่องผลข้างเคียง ทำให้ตนเองอาจกลายเป็นแหล่งรังโรคเคลื่อนที่ หากต้องไปพบปะกับผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบาง จึงควรพิจารณาป้องกันตนเองมิให้แพร่เชื้อด้วยการใส่หน้ากากอนามัย กินร้อน ช้อนกลาง และล้างมือ

วัคซีนที่มีใช้ขณะนี้มีความชัดเจนว่าด้อยประสิทธิภาพในการป้องกัน “การติดเชื้อ” แต่ยังสามารถป้องกัน “การเจ็บป่วยรุนแรง” และป้องกัน “การเสียชีวิต” ได้ดี ดังนั้นการป้องกันการติดเชื้อโควิดที่ได้ผลดีที่สุดขณะนี้คือ การใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ มิใช่การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มกระตุ้นประเภท mRNA ถูกตีพิมพ์เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ พบว่าประสิทธิภาพของเข็มกระตุ้นดั้งเดิมซึ่งเป็นโมโนวาเลนต์ใช้สายพันธุ์อู่ฮั่นเป็นต้นแบบสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ที่รุนแรงได้ประมาณ 25% ในขณะที่ประสิทธิผลของเข็มกระตุ้นแบบไบวาเลนต์เพิ่มขึ้นเป็น 62% โดยรวมแล้วการฉีดวัคซีนไบวาเลนต์เข็มกระตุ้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อรุนแรงมากกว่า 37% เมื่อเทียบการฉีดวัคซีนโมโนวาเลต์แบบดั้งเดิมที่มีไวรัสอู่ฮั่นเป็นต้นแบบ (โมโน, ไบ, หรือ ไตร มาจากภาษาละติน monos, bis, and tres แปลว่า 1,2, และ3)

องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและยาของสหรัฐ อเมริกา (US FDA) ประสานเสียงเสนอให้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 เปลี่ยนมาใช้โอมิครอนสายพันธุ์เดียว XBB เป็นหัวเชื้อหรือต้นแบบในการผลิต “วัคซีนโมโนวาเลนต์” พร้อมแนะนำให้ประเทศต่างๆควรเตรียมตัวเปลี่ยนมาใช้วัคซีน XBB เพื่อให้ทันต่อการป้องกันการติดเชื้อ และทันต่อการป้องกันการเกิดอาการรุนแรงหากติดเชื้อกลายพันธุ์ในปีหน้า (พ.ศ. 2567) แทนการฉีดวัคซีน 2 สายพันธุ์ (ไวรัสอู่ฮั่น+โอไมครอน BA.4/BA.5) หรือ “วัคซีนไบวาเลนต์” ซึ่งได้มีการนำมาใช้ในช่วงปีนี้ (พ.ศ. 2566) และเพื่อให้การผลิตวัคซีนถึงประชาชนอเมริกันในเดือน กรกฎาคม 2566 สามบริษัทซึ่งผลิตวัคซีน mRNA และ วัคซีนชิ้นส่วนโปรตีนของโควิด-19 (protein subunit) จึงเลือกใช้โอมิครอน XBB.1.5 เป็นต้นแบบในการผลิตวัคซีนสำหรับใช้ในช่วงฤดูกาล พ.ศ. 2566-2567

จากข้อมูลการทดสอบวัคซีนเบื้องต้นยังแสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีน XBB.1.5 โมโนวาเลนต์ สามารถสร้างแอนติบอดีที่ขัดขวางโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอื่นในกลุ่ม XBB เช่น XBB.1.16, XBB.2.3 ไม่ให้จับกับเซลล์ของมนุษย์และแพร่เชื้อได้ ทั้งนี้จากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมก่อนหน้านี้พบว่าในกลุ่มโอมิครอน XBB มีการกลายพันธุ์ต่างกันเพียง 2-3 ตำแหน่งบนส่วนของหนาม ต่างกับการกลายพันธุ์ระหว่างโอมิครอน BA.4 และ BA.5 ซึ่งแตกต่างกันถึง 28 ตำแหน่ง

นั่นหมายความว่าการฉีดวัคซีน XBB.1.5 จะกระตุ้นการสร้างแอนติบอดีที่สามารถเข้าจับและทำลายโอมิครอนในกลุ่ม XBB ได้ทั้งกลุ่ม เนื่องจากมีการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนามต่างกันไม่มาก

องค์การอนามัยโลก และองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาเห็นตรงกันว่าวัคซีนโควิด-19 ในปี 2567 ควรเป็นวัคซีนสายพันธุ์เดียว หรือวัคซีนโมโนวาเลนต์ (covid-19 monovalent vaccine) ที่กำหนดเป้าหมายไปที่โอมิครอน XBB.1.5, XBB.1.16 หรือ XBB.2.3

เนื่องจากปัจจุบันพบสายพันธุ์ย่อย XBB มากกว่า 95% ของสายพันธุ์ไวรัสที่หมุนเวียนระบาดอยู่ในสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2566

สายพันธุ์ XBB หลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้มากกว่าสายพันธุ์ย่อยโอไมครอนก่อนหน้า และปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 95% ของผู้ป่วยโควิดทั่วโลก

ในสหรัฐอเมริกา พบสายพันธุ์ XBB จำนวน 8 สายพันธุ์คิดเป็นกว่า 98% ของผู้ป่วยทั้งหมดในปัจจุบัน โดยมี 3 สายพันธุ์หลักโอไมครอน XBB.1.5 จำนวน 40% และ XBB.1.16 ประมาณ 18% และ XBB.2.3 ประมาณ 6% ตามลำดับ

สำหรับประเทศไทยพบสายพันธุ์โอมิครอนจากฐานข้อมูลโควิดโลกจีเสส (GISAID) ระหว่าง 1 พฤษภาคม-15มิถุนายน 2566 จำนวน 658 ราย พบเป็นสายพันธุ์

โอมิครอน XBB ประมาณ 95.6%

XBB.1.5 ประมาณ 17.5%

XBB.1.16 ประมาณ 35.6%

XBB.1.9 ประมาณ 13.5%

XBB.2.3 ประมาณ 4.7%

โอมิครอน XBB.1.16, XBB.1.9 และ XBB.2.3 คาดว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นมาและแทนที่ XBB.1.5 ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2566

นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกไม่แนะนำให้ใช้สายพันธุ์เก่ามาเป็นหัวเชื้อร่วมกับสายพันธุ์ใหม่ (วัคซีนไบวาเลนต์) แม้ผลกระทบทางคลินิกจะยังไม่ชัดเจนแต่มีหลักฐานในหลอดทดลองบ่งชี้ว่าหากใช้สายพันธุ์เดิมฉีดกระตุ้นซ้ำๆจะทำให้การสร้างแอนติบอดีของเม็ดเลือดขาวต่อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ไปเล็กน้อยลดประสิทธิภาพลง (การประทับตราภูมิคุ้มกัน: immune imprinting*) จึงควรใช้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่เท่านั้นในการผลิตวัคซีนในอนาคต

อย่างไรก็ดีนักวิทยาศาสตร์และทางการจีนเห็นต่างที่จะใช้เพียง “โควิด-19 โมโนวาเลนต์วัคซีน” เพราะเกรงว่าจะมีการติดเชื้อซ้ำในสายพันธุ์ที่เคยระบาดมาก่อนหน้าที่มีความรุนแรงคือสายพันธุ์ เดลตา และโอมิครอน BA.4/BA.5 จึงเลือกที่จะผลิต “โควิด-19 ไตรวาเลนต์วัคซีน”

โควิด-19 ไตรวาเลนต์วัคซีน” จากจีนอาศัยเซลล์แมลง(Sf9 Cell) ในการผลิตส่วนโปรตีนจากโควิด-19 สามสายพันธุ์ คือ โอมิครอน XBB.1.5 + โอมิครอน BA.5 + เดลตา

โปรตีนแอนติเจนที่ใช้ในวัคซีนไตรวาเลนต์นี้ได้รับการออกแบบโดยอิงโครงสร้างของโปรตีน S-RBD และ HR ของโควิด-19 เดลตา และโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB.1.5 และ BA.5 โดยประกอบขึ้นเป็นอนุภาคโปรตีนไตรเมอร์ แขวนลอยในน้ำมัน สามารถกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาวประเภททีเซลล์ (T-cell) ในระดับที่สูงขึ้น พบว่าแอนติบอดีที่ถูกกระตุ้นด้วยการฉีดวัคซีนไตรวาเลนต์เข้าไป 14 วัน สามารถจับและทำลาย (neutralization) โอไมครอน XBB.1.5, XBB1.16, XBB1.9.1, XBB.2.3, BA.5, BF.7, BQ 1, BA.2.75. ได้ในหลอดทดลอง และจากการทดสอบยังพบมีประสิทธิภาพในการป้องกัน XBB.1, XBB.1.5, XBB1.9 ถึง 93.28% เป็นวัคซีนที่ป้องกันเชื้อโควิดได้หลายสายพันธุ์ (board spectrum vaccine)

ปลายปี 2566 ต่อไปยังปี 2567 คงจะมีข้อมูลทางคลินิกจากผู้ที่ฉีดโควิด-19 โมโนวาเลนต์และกลุ่มที่ฉีดโควิด-19 ไตรวาเลนต์ ทยอยออกมาให้เปรียบเทียบว่าวัคซีนประเภทใดจะป้องกันการติดเชื้อ ป้องการการเกิดอาการรุนแรง และป้องกันการเสียชีวิตได้ดีกว่ากัน

ประสิทธิภาพของวัคซีน XBB ทั้งโมโนวาเลนต์และไตรวาเลนต์ในป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาและการทดลองทางคลินิก อย่างไรก็ตาม งานวิจัยบางชิ้นเสนอว่าหากวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ XBB ไม่ได้ หรือได้ไม่ดี ยาต้านไวรัส เช่น เรมเดซิเวียร์ ยังมีประสิทธิภาพในการต่อต้านทั้ง XBB.1.5 และ XBB ทั้งจากการทดสอบในหลอดทดลองและทางคลินิก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โควิดพุ่งตามคาด! สายพันธุ์ไม่เปลี่ยน อาการคล้ายหวัด

กรมควบคุมโรคเผยสถานการณ์โรคโควิด 19 พบแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี สายพันธุ์ไม่เปลี่ยนอาการคล้ายหวัด แนะ กลุ่มเสี่ยง 608 ระมัดระวังหากมีอาการสงสัยป่วยควรปรึกษาแพทย์

โควิดสงกรานต์พุ่ง! ไทยติดเชื้อรอบสัปดาห์ 849 ราย

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายสัปดาห์ว่า ระหว่างวันที่ 7 - 13 เมษายน 2567 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รักษาในโรงพยาบาล (รายสัปดาห์) 849 ราย

หมอกควันไฟป่าฝุ่น pm2.5 ภาคเหนือพุ่งปรี๊ด! เชียงใหม่ ครองที่ 1 โลกต่อเนื่อง

ปํญหาหมอกควันไฟป่าฝุ่น pm2.5 ภาคเหนือยังพุ่งสูงเป็นสถิติทุกวัน เชียงใหม่ AQI ครองที่ 1 โลกต่อเนื่อง PM2.5 เกินมาตรฐานทุกจุด

โควิดยังพุ่ง! ไทยติดเชื้อรอบสัปดาห์ 728 ราย ผู้สูงอายุดับ 2 คน

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายสัปดาห์ว่า ระหว่างวันที่ 24 - 30 มีนาคม 2567 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่

โควิดพุ่ง! ไทยติดเชื้อใหม่รอบสัปดาห์ 630 ราย ดับเพิ่ม 5 คน

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายสัปดาห์ว่า ระหว่างวันที่ 17 - 23 มีนาคม 2567 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รักษาในโรงพยาบาล (รายสัปดาห์) 630 ราย