ศาลปค.รับคดีแบ่งเขต

กกต.กางกฎหมายลูกว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม  ส.ส. ร่ายรายละเอียดทุกเม็ด “อรรถวิชช์” เผยศาลปกครองสูงสุดรับคดีแบ่งเขตเลือกตั้งใน กทม.แล้ว ชี้ยังมี  "สุโขทัย-สกลนคร" ด้วย

เมื่อวันศุกร์ที่​ 24 มี.ค. นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นประธานในการประชุมชี้แจงการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2566 โดยมีผู้อำนวยการสำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดและกรุงเทพมหานคร รวมถึงผู้บริหารส่วนกลางของสำนักงาน กกต. โดยได้มอบนโยบาย รวมทั้งการตอบข้อซักถามเพื่อให้เกิดความเข้าใจและนำไปสู่การปฏิบัติงานด้วยความเรียบร้อยต่อไป

ต่อมาสำนักงาน กกต.ได้เผยแพร่คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.และลักษณะต้องห้าม ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 41 และมาตรา 42 โดยคุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง  ตามมาตรา 41 กำหนดว่า ต้องมีสัญชาติไทยโดยการเกิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคการเมืองเดียวเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง  เว้นแต่กรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภา ระยะเวลา 90 .ได้ะ ๐ รีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.)เก้าสิบวันให้ลดลงเหลือ 30 วัน และผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ 1.มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 2.เป็นบุคคลซึ่งเกิดในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง 3.เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปีการศึกษา และ 4.เคยรับราชการหรือปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ หรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง แล้วแต่กรณีเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี

ส่วนลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 42 คือ ต้องไม่ติดยาเสพติดให้โทษ ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต ไม่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ   ไม่เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช ไม่อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ ไม่วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ไม่อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง  ไม่ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

ไม่เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ   ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิด ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ไม่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน    กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า  กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน

ไม่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำนอกจากข้าราชการการเมือง ไม่เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ไม่เป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงยังไม่เกินสองปี ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ  หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ไม่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ

ไม่อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้ ส.ส.  ส.ว. หรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย และไม่เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

วันเดียวกัน นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคชาติพัฒนากล้า  (ชพก.) เผยว่า ศาลปกครองสูงสุดได้รับคำร้องปมการแบ่งเขตเลือกตั้งของ กทม.ที่ได้ยื่นร้องไปแล้ว เป็นคดีดำหมายเลข ป.16/2566 เมื่อวันที่ 20 มี.ค.โดยหลังจากนี้รอการเรียกไต่สวนตามกฎหมาย ซึ่งขั้นตอนนี้ไม่มีมาตรการคุ้มครองชั่วคราว แต่ได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว

“เป็นเรื่องที่ กกต.ต้องตอบว่าเหตุใดการแบ่งเขตเลือกตั้งในกรุงเทพฯ จาก 33 เขต ไม่มีอำเภอหลักอยู่ในนั้น และการแบ่งเขตครั้งนี้ไม่เหมือนเขตการเลือกตั้งเก่า โดยมีเพียง 4 เขตเท่านั้นที่เหมือนการเลือกตั้งเดิม พูดง่ายๆ คือตั้งใจไม่ให้เหมือนเขตเดิม” นายอรรถวิชช์กล่าว

มีรายงานว่า ศาลปกครองสูงสุดได้รับคำร้องการแบ่งเขตเลือกตั้งทั้ง 3 จังหวัดคือ กทม., สุโขทัย และสกลนคร โดยศาลมีคำสั่งรับคดีเมื่อวันที่ 22 มี.ค. ขณะที่ กกต.อยู่ระหว่างเตรียมทำคำชี้แจงส่งต่อศาลภายใน 5 วันทำการ ซึ่งจะต้องยื่นเอกสารชี้แจงภายในวันที่ 29 มี.ค.นี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง