วุฒิสภาตอก‘กก.’ อย่าอํ้าอึ้งม.112

กรุงเทพฯ ๐ "ชัยธวัช"​ ยัน 313 เสียงพอตั้งรัฐบาลก้าวไกลแล้ว มือไม้เริ่มอ่อนเตรียมเดินหน้าล็อบบี้ ส.ว. เชื่อหากเห็นเอ็มโอยูแล้วจะเข้าใจมากขึ้นและจะตัดสินใจในทางบวก ขณะที่ ส.ว.ไม่พูดมาก แค่ก้าวไกลตอบให้ชัด แก้หรือไม่แก้ ม.112  อย่าอ้ำๆ อึ้งๆ ลั่นห้ามแตะต้องแม้แต่นิดเดียว ถ้าทำได้ ส.ว.ก็พร้อมยกเก้าอี้นายกฯ ให้ "พิธา"

     เมื่อวันที่​ 20 พฤษภาคม 2566 นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล เปิดเผยในฐานะผู้จัดการตั้งรัฐบาลว่า ขณะนี้พรรครวบรวมเสียงได้ 313 เสียง ถือว่ามีเพียงพอและมั่นคงแล้วตามหลักการประชาธิปไตยสากลทั่วไป​ ดังนั้น หลังจากนี้จะเดินหน้าคุยกับ ส.ว.ต่อ เพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน แล้วพาบ้านเมืองไปต่อตามครรลองประชาธิปไตย ไม่ไปสู่ทางตัน

     "โดยจากที่ผมได้พูดคุยกับ ส.ว. จำนวนหนึ่ง หลายท่านมีความกังวลเรื่องทิศทางนโยบายต่างประเทศ การรักษาสมดุลของไทยในเวทีการเมืองโลก และ ส.ว.ไม่ต้องการเห็นรัฐบาลชุดใหม่ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองเพิ่มขึ้น เมื่อได้พบกันและอธิบายจุดยืนและแนวทางของพรรคก้าวไกล ทาง ส.ว.ก็เข้าใจมากขึ้น"

     เขากล่าวว่า วันที่ 23 พ.ค. จะมีประชุมวิสามัญวุฒิสภา และทราบมาว่าหลังการประชุมวุฒิสภาน่าจะมีการประชุมกันอย่างไม่เป็นทางการของ ส.ว. เรื่องแนวทางการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าเมื่อ ส.ว.ได้เห็นข้อตกลงร่วม (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาลในวันที่ 22 พฤษภาคมแล้ว จะมีความเข้าใจต่อพวกเราดีขึ้น และนำไปสู่การตัดสินใจในเชิงบวกเพื่อผลักดันประเทศไปข้างหน้า

     นายชัยธวัช​กล่าวอีกว่า ขณะนี้กระบวนการเจรจาร่าง MOU เดินหน้าไปได้ด้วยดี ตอนนี้ทุกพรรคกำลังพิจารณาและนำเสนอวาระสำคัญของแต่ละพรรคเพื่อมารวมกันเป็นข้อตกลงร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาล โดยในวันที่ 21 พ.ค.2566  จะมีการพูดคุยกับแต่ละพรรคอีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันในวันที่ 22 พ.ค.นี้

     เลขาธิการพรรคก้าวไกลยังกล่าวอีกว่า  วาระสำคัญใน MOU จะตอบสนองต่อเสียงประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า ประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลงทั้งในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างเป็นธรรม และปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย มีนิติรัฐ โปร่งใส ปราศจากการทุจริต และแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าไปสู่อนาคตได้

     นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่หลายฝ่าย รวมถึงนักวิชาการมองว่าคะแนนเสียงของรัฐบาลก้าวไกลแค่ 313 เสียงก็เพียงพอแล้วสำหรับการจัดตั้งรัฐบาลว่า จริงๆ แค่ 300-310 เสียงก็พอแล้ว สามารถสร้างเสถียรภาพแข็งแรงได้ ซึ่งเขาก็กำลังคำนึงอยู่ว่าจุดสมดุลที่สุดอยู่ตรงไหน นั่นคือ รัฐบาลควรจะมีเสียงไม่เกินเท่าไหร่ โดยสมดุลที่ 1 คือเรื่องของภาระงาน ความเข้มแข็งของรัฐบาล คำนึงถึงบทบาทของฝ่ายตรวจสอบ 2.ความเป็นไปได้ที่จะได้ 376 เสียง ซึ่งต้องเอา 2 เรื่องนี้มาชั่งกัน คาดว่าจะเป็นในทำนองนี้

     ด้านนายทรงเดช เสมอคำ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงกระแสข่าวขั้วการเมืองที่กำลังฟอร์มทีมจัดตั้งรัฐบาลเดินสาย ล็อบบี้ ส.ว.กลุ่มอิสระ 50 คน ที่มาจากกลุ่มอาชีพต่างๆ เลือกกันเข้ามา ให้เลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีว่า คนเป็นหนึ่งใน ส.ว.กลุ่มสายอาชีพ ยอมรับมีฝ่ายการเมืองติดต่อมาพูดคุยทำความเข้าใจ แต่ไม่ใช่เชิงขอคะแนนให้นายพิธา ส่วนตัวแล้วพร้อมโหวตสนับสนุนให้พรรคเสียงข้างมากได้เป็นนายกฯ แต่ไม่ทราบว่า ส.ว.สายอาชีพคนอื่นๆ จะคิดเหมือนกันหรือไม่

แก้ ม.112 หรือไม่อย่าอ้ำๆ อึ้งๆ

     "ขณะนี้ ส.ว.ทุกคน ทุกกลุ่ม เห็นตรงกันไม่เห็นด้วยกับการแตะต้องมาตรา 112 ไม่ว่าจะยกเลิกหรือแก้ไข ห้ามทำเด็ดขาด กฎหมายเดิมดีอยู่แล้ว ถ้าพรรคก้าวไกลประกาศชัดเจนจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมาตรา 112 เชื่อว่าเสียง ส.ว.พร้อมยกมือให้คุณพิธาเต็มสภา จึงต้องรอดูเอ็มโอยูฝ่ายพรรคก้าวไกลในวันที่ 22 พฤษภาคม จะมีความชัดเจนเรื่องมาตรา 112 อย่างไร"

     นายทรงเดชกล่าวว่า ส่วนที่ ส.ว.สาย 2 ลุง ประเมินว่าจะมี ส.ว.ลงมติเห็นชอบนายพิธาเป็นนายกฯ ประมาณ 20 เสียงนั้น ส่วนตัวยังเชื่อว่ามีเกิน 20 เสียง แต่จะไปถึงกว่า  60 เสียงตามจำนวนที่ยังขาดอยู่ในการโหวตนายกฯ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการประสานงาน จะต้องมาคุยแบบมิตรไมตรี เหมือนที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี บอกปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดั่งใจจง ไม่ใช่มาด่าตลอดใครจะเลือกให้ ยังมีเวลาอีกยาวไกลกว่าจะโหวตเลือกนายกฯ ยังมีเวลาทำความเข้าใจกันได้

     ส่วนกระแสข่าวแกนนำ ส.ว.สาย 2 ลุง จะให้ ส.ว.โหวตงดออกเสียงนายพิธาเป็นนายกฯ ก็ได้ยินมาเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่า ส.ว.จะทำตามหรือไม่ ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากพรรคก้าวไกลแสดงความชัดเจนไม่แตะต้องมาตรา 112 อาจมีเสียง ส.ว.เห็นชอบเกินกว่า 60 เสียง แต่ถ้าไม่มีความชัดเจนก็ไม่มีทางได้เสียงถึงแน่นอน

     “ฝากบอกพรรคก้าวไกล ต้องพูดให้ชัดเจน ยกเลิกความคิดแก้ไขมาตรา 112 อย่าอ้ำๆ อึ้งๆ ตอบไม่ชัดเจน จะแก้ไขโดยการลดโทษมาตรา 112 ก็ไม่ได้ ห้ามแตะต้องมาตรา 112 แม้แต่นิดเดียว ถ้าทำได้ ส.ว.ก็พร้อมให้ความเห็นชอบนายพิธา แต่ถ้าไม่ยกเลิกเรื่องนี้ก็เป็นสายล่อฟ้า” นายทรงเดชกล่าว

     นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ความว่า สังคมไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มการเมืองระหว่างฝ่ายที่ถูกเรียกว่า “อนุรักษนิยม” และ “เสรีนิยมประชาธิปไตย”

ต้องกระทำด้วยท่าทีที่เป็นมิตร

     ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ประชาชนได้แสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าต้องการให้พรรคการเมืองจากฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยได้เข้ามาบริหารประเทศเเทนฝ่ายอนุรักษนิยมที่ยึดอำนาจและบริหารประเทศมากว่า 8 ปี นั่นคือเจตจำนงทางการเมืองที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนที่ทุกฝ่ายต้องให้ความเคารพ

     พรรคก้าวไกลซึ่งได้รับเสียงเป็นอันดับหนึ่ง จึงมีความชอบธรรมที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เริ่มจากการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาไม่น้อยกว่า 376 เสียง จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. เพราะหากต้องรวบรวมเสียงจาก ส.ส.ให้ถึง 376 เสียง จะทำให้ฝ่ายค้านอ่อนแอจนตรวจสอบรัฐบาลไม่ได้ ซึ่งไม่เป็นผลดี และประชาชนจะเสียประโยชน์

     ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงมีหน้าที่สำคัญ คือ การผลักดันให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องกระทำด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ประกอบกับยอมรับฟังความคิดเห็นในมุมสะท้อนต่างๆ จากทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายที่มีความเห็นต่าง ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการสร้างความขัดแย้งเพิ่ม โดยจะต้องทำให้ ส.ว.อีกฝ่ายเกิดความเชื่อมั่นว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีความสามารถที่จะนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้า และจะนำพาประเทศออกจากหล่มความขัดแย้งทางการเมืองที่เผด็จการสร้างทิ้งไว้โดยจะไม่เป็นผู้สร้างความขัดแย้งเสียเอง

     ขณะเดียวกัน ส.ว. ซึ่งมีเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญในการลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่ จะต้องตระหนักว่าความชอบด้วยกฎหมาย (legality) เพียงอย่างเดียว แต่หากปราศจากความชอบธรรม (legitimacy) จะไม่สามารถนำมาซึ่งการยอมรับ แต่กลับจะทำให้เกิดความขัดแย้งขยายเพิ่มมากขึ้น ทุกฝ่ายจึงต้องตระหนักว่าการสร้างความเชื่อมั่นให้ทั่วโลกและคนไทยเห็นว่า ประเทศไทยมีความเป็นอารยะ สามารถเปลี่ยนผ่านฐานอำนาจทางการเมืองได้อย่างราบรื่นและสันติ  เพราะทุกฝ่ายเคารพการตัดสินใจของประชาชน จะนำมาซึ่งความมั่นใจซึ่งเป็นหัวใจของการแก้ไขปัญหาของประเทศ เพราะไม่มีประเทศใดบนโลกใบนี้ที่สามารถพัฒนาได้ท่ามกลางความขัดแย้งของคนในชาติ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชงไทยบี้เมียนมา งดขายน้ำมันให้ เจรจาสันติภาพ

"โรม" เสนอให้ไทยงดขายน้ำมันให้ "เมียนมา" ปูดใช้ไทยฟอกเงินเครือข่ายซื้ออาวุธที่ใช้ปฏิบัติการ เตือนถูกดึงไปเอี่ยวร่วมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์