เผยผลสอบตึก สตง.พุ่งเป้าไปที่การออกแบบ-ปล่องลิฟต์ไม่สมมาตร “อนุทิน” ไม่สบายใจหลังพบปลอมลายเซ็นวิศวกร หากเป็นจริงเอาผิดแน่ ด้าน "ดีเอสไอ" เร่งสางคดีนอมินี ตรวจเข้มสัญญา 4 ฉบับ ขยายผลหาผู้รับผิดชอบ หดหู่! พิสูจน์ร่าง ชิ้นส่วนมนุษย์ ตรวจดีเอ็นเอคืนร่างให้ญาติ เร่งจ่ายเงินเยียวยา
เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าผลสอบตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ถล่ม ว่า ตอนนี้มีข้อมูลประปรายเข้ามา ซึ่งเราน่าจะเรียกประชุมได้ในวันที่ 18 เม.ย. โดยตนได้ขอข้อมูลทั้งหมดที่เป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งในวันที่ 18 เม.ย. จะดูว่ามีฟีดแบ็กอย่างไร เพราะตอนนี้ได้ข้อมูลมาเป็นชิ้นๆ ในภาพรวม เร่งอยู่ตลอด ไม่ต้องห่วงไม่ได้ปล่อยมือไปไหน เมื่อถามว่าในเรื่องการตรวจสอบการทุจริตของโครงการก่อสร้างจะถือโอกาสนี้สะสางเลยหรือไม่ นายกฯ ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว
ที่กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เบื้องต้นได้วางกรอบการสืบสวนไว้แล้ว โดยคณะกรรมการได้มารายงานต่อตนและนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งตอนนี้พอที่จะทราบหนึ่งในสาเหตุ ตรงกับที่ ดร.วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าปล่องลิฟต์ไม่สมมาตร ถือเป็น 2 หน่วยงานที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ใช้ข้อมูลวิเคราะห์คำนวณหาสาเหตุ ซึ่งเราต้องคำนวณเชิงลึกเพื่อหาสาเหตุให้มั่นใจว่า ไม่มีข้อสงสัย และไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะเป็นเรื่องของวิศวกรรมศาสตร์ จะต้องถูกพิสูจน์ด้วยการคำนวณ
โดยคณะกรรมการจะพุ่งเป้าไปที่การออกแบบก่อน โดยเฉพาะเรื่องการออกแบบที่ไม่สมมาตรกับตึก เมื่อมีเหตุการณ์แผ่นดินไหว นอกจากจะมีการแกว่งของตัวตึกแล้ว พอเป็นอาคารที่ไม่สมบูรณ์แล้วจะเกิดแรงบิด ต้องดูว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วค่าสัดส่วนความปลอดภัย (Safety Factor) ที่ต้องทนต่อแรงบิด แรงเฉือน ได้ออกแบบเผื่อไว้ตามหลักหรือไม่ อย่างไรก็ตาม กรมโยธาธิการและผังเมืองมีหน้าที่ตรวจสอบหาสาเหตุตึกถล่มในเชิงวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนเรื่องการกระทำผิด ทุจริต และฮั้วประมูล ไม่ใช่หน้าที่ แต่ หากมีข้อมูลจะส่งให้ สตง.ในฐานะเจ้าของโครงการได้รับทราบเพื่อไปดำเนินการต่อ
ส่วนกรณีที่มีการพบว่าบริษัทผู้ควบคุมงานมีการปลอมลายเซ็น และใช้วิศวกรที่มีอายุมากถึง 85 ปี นายอนุทินยอมรับว่า ในฐานะวิศวกรคนหนึ่ง ตนเองฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องวิชาชีพ ไม่ควรมีการปลอมลายเซ็นได้ เหมือนแพทย์ไปออกใบรับรองแพทย์ที่ไม่ถูกต้องหรือตรงหลักความเป็นจริงก็ถือว่าผิดหลักจรรยาบรรณ การปลอมลายเซ็นหากเกิดขึ้นจริงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ จะต้องมีการดำเนินคดี โดยเร็วๆ นี้จะมีการเชิญอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองมาหารือว่า มีหน้าที่ควบคุมจรรยาบรรณของสายวิชาชีพหรือไม่ สภาวิศวกรที่เป็นคนออกใบอนุญาตให้กับหน่วยงานทางด้านวิศวกรรมก็ขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย ตนเองเป็นสภานายกพิเศษสภาวิศวกรก็ต้องดูเรื่องนี้
“หากมีการปลอมลายเซ็นจริง ปลอมแปลงเอกสาร อ่านจากข่าวได้ข้อมูลว่ามีท่านหนึ่งที่เป็นผู้อาวุโสบอกว่าส่งมาก็เซ็นๆ ไป แบบนั้นมันไม่ได้ ความเป็นวิชาชีพห้ามพูดแบบนั้นเป็นอันขาด การจะเซ็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย และต้องใช้ใบอนุญาตจะต้องมีความเข้มงวด และได้รับการปฏิบัติด้วยตนเอง”
นายอนุทินกล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการใช้เวลาในการสืบสวนนานถึง 90 วัน ว่า คณะกรรมการเป็นอาจารย์ เป็นนายกสภาวิศวกร เป็นกรรมการวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนของคณะวิศวกรรมศาสตร์จากสถาบันและมหาวิทยาลัยที่น่าเชื่อถือ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องทางเทคนิค เขาบอกว่า 90 วัน เพื่อให้ผลสอบออกมาแล้วจะต้องไม่มีข้อโต้แย้ง ผิดคือผิด โดยในคณะกรรมการจะทำงานเช่นเดียวกับผู้พิพากษา ต่างคนต่างไปคำนวณเชิงลึกแล้วนำมาหารือร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง หากตนเองบอกว่าไม่ได้ จะต้องขอภายใน 15 วัน ก็ถือเป็นการก้าวก่ายหรือล่วงละเมิด
พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีนอมินี บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ เปิดเผยว่า ดีเอสไออยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงสัญญา 4 ฉบับ ประกอบด้วย 1.สัญญาการออกแบบโครงสร้าง (ซึ่งกรมโยธาธิการและผังเมืองไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ แต่มีบริษัทเอกชนเป็นผู้ออกแบบ) 2.สัญญาควบคุมงาน 3.สัญญาการก่อสร้าง และ 4.สัญญาการเปลี่ยนแบบ หรือสัญญาขอแก้ไขเพิ่มเติมแบบ ซึ่งมีการแก้แบบระหว่างทาง เพราะการแก้ไขแบบก็ต้องให้คนออกแบบเป็นผู้อนุมัติ ดังนั้นบริษัทที่เกี่ยวข้อง ทั้งบริษัทผู้ออกแบบ คือ บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตามขั้นตอนแล้วมันต้องเริ่มตั้งแต่ผู้รับเหมาเสนอไปที่ผู้ควบคุมงาน จากนั้นหากผู้ควบคุมงานเห็นด้วย ก็เสนอไปยังผู้ออกแบบว่าอนุมัติหรือไม่ หากผู้ออกแบบอนุมัติว่าทำแล้วไม่กระทบกับโครงสร้างก็เสนอไปยังคณะกรรมการเพื่อตรวจการจ้าง ทั้งนี้ ส่วนการออกแบบและการแก้ไขแบบจะต้องมีผู้แทนของ สตง.อนุมัติหรือไม่นั้น ทราบว่าจะมีคณะกรรมการบริหารเรื่องสัญญาจ้างอยู่ แต่ตามหลักการแล้ว อะไรที่รัฐเซ็นไปแล้ว รัฐต้องได้ประโยชน์
พ.ต.ต.วรณันยังกล่าวถึงนายพิมล เจริญยิ่ง ปรากฏชื่อเป็นผู้ออกแบบนั้น เป็นคนละส่วนกับ นายสมเกียรติ ชูแสงสุข ที่มีคนที่ไปปลอมลายเซ็นชื่อ แอบอ้างชื่อนายสมเกียรติเรื่องการแก้แบบ ดีเอสไออยู่ระหว่างการขยายผลว่าใครเป็นผู้แอบอ้าง ทั้งนี้ สิ่งที่เรายึดเป็นแกนกลางคือ ตึก สตง.แห่งใหม่นี้ เดิมให้กรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นผู้ออกแบบให้ แต่ด้วยกรอบเวลา 180 วัน กรมโยธาธิการและผังเมืองไม่สามารถออกแบบได้ทัน จึงเป็นสิทธิ์ของ สตง.ที่จะจ้างบริษัทเอกชน จึงทำให้เห็นว่าในกระบวนการต่างๆ มีวิศวกรเข้ามาเกี่ยวข้องกี่รายกันแน่ และเป็นใครบ้าง
พ.ต.ต.วรณันเผยด้วยว่า เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา ทางดีเอสไอได้ประสานไปยังนายพิมล เจริญยิ่ง เพื่อขอความร่วมมือเข้าให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ให้ข้อเท็จจริง ส่วนเจ้าตัวจะตอบรับอย่างไรนั้น จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง นอกจากนี้ หากดีเอสไอรวบรวมพยานหลักฐานจนเห็นความเกี่ยวข้องว่าใครเข้ามาเกี่ยวข้องช่วงใดของงานบ้าง เกี่ยวข้องอย่างไร จึงจะเริ่มมีการออกหมายเรียกพยานนิติบุคคลต่างๆ เข้าให้ข้อมูลคดี
ทั้งนี้ มีรายงานเพิ่มเติมจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษว่า วันนี้ดีเอสไอได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญารัชดาภิเษกออกหมายค้นพื้นที่เป้าหมาย 4 จุด ได้แก่ 1.สำนักงานใหญ่ของนายบินลิง วู 2.บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด 3.บริษัท ว และสหายคอลซัลแตนตส์ จำกัด และ 4.บริษัท เคพี คอลซัลแทนส์ จำกัด เพื่อตรวจค้นและตรวจยึดพยานเอกสาร พยานวัตถุที่เกี่ยวข้องในคดีที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ คือ คดีพิเศษที่ 32/2568 หรือคดีนอมินี บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด
ขณะที่การจัดลำดับกลุ่มหมายเรียกพยานของดีเอสไอ ตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.68 - 15 พ.ค.68 มีรายงานว่า แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มผู้รับงานก่อสร้างและผู้เกี่ยวข้อง 7 ราย คือ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด, นายเวนจี้ ลู, นายบินลิง วู, นายโสภณ มีชัย, นายประจวบ ศิริเขตร, นายมานัส ศรีอนันท์ 2.กลุ่มผู้ทำบัญชีและตรวจสอบบัญชี 6 ราย คือ น.ส.ศุทธวีร์ (สงวนนามสกุล), น.ส.ธีรดา (สงวนนามสกุล), น.ส.มณีรัตน์ (สงวนนามสกุล), นายนครินทร์ (สงวนนามสกุล), นายวรพจน์ (สงวนนามสกุล), น.ส.พิชญพร (สงวนนามสกุล) 3.กลุ่มผู้เสนอราคา (ไม่รวมกิจการร่วมค้า ITD) 6 ราย คือ บริษัท อาคาร 33 จำกัด, บริษัท กิจการร่วมค้า ยูเวิร์คนีโอแอนด์มาร์ชเทน จำกัด, บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง (จำกัด) มหาชน, บริษัท เอ็นเเอล ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และกิจการร่วมค้าวรเรียล
ที่ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.วิรุฬห์ ศุภสิงห์ศิริปรีชา ผบก.นต.รพ.ตร. เปิดเผยว่า ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการตามกระบวนการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล โดยมีการเก็บข้อมูลผู้สูญหายและ DNA จากญาติ จำนวน 97 ราย เพื่อใช้เปรียบเทียบกับศพที่ส่งมายังสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ โดยการตรวจเปรียบเทียบยืนยัน ได้แก่ ลายพิมพ์นิ้วมือ ข้อมูลทันตกรรม DNA และข้อมูลทางกายภาพ ตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค. ถึง 17 เม.ย.68 มีศพและชิ้นส่วนศพที่เข้าระบบ โดยแบ่งเป็นศพ จำนวน 41 ราย และชิ้นส่วนศพ 96 ชิ้น ซึ่งข้อมูลผู้เสียชีวิตที่เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลแล้ว จำนวน 42 ราย และชิ้นส่วนศพจำนวนมาก สามารถตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลยืนยันว่าผู้เสียชีวิตเป็นใครได้ จำนวน 33 ราย แบ่งเป็น คนไทย 22 ราย เมียนมา 10 ราย และกัมพูชา 1 ราย ซึ่งได้แจ้งญาติมารับศพแล้ว โดยศพที่ส่งเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล เบื้องต้นสามารถทราบว่าเป็นใคร แต่ต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ชิ้นส่วนศพเพื่อประกอบร่างให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนส่งคืนแก่ญาติ ซึ่งการตรวจพิสูจน์จะใช้ DNA ร่วมลายพิมพ์นิ้วมือ ส่วนที่เป็นชิ้นส่วน จะนำ DNA มารวมแต่ละชิ้นให้เป็นตัวบุคคล ซึ่งเวลาผ่านไปนาน จึงต้องใช้กระดูกในการหา DNA อาจจะใช้เวลาเพิ่ม 1-2 วัน ก่อนจะนำข้อมูลของครอบครัวมาเปรียบเทียบ
ด้าน พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผบก.พฐก. กล่าวว่า ช่วงวันแรกที่ศพเข้ามาสามารถใช้วิธีพิมพ์มือในการพิสูจน์ได้ และปล่อยศพได้วันต่อวัน ตอนนี้ศพมีการเปลี่ยนสภาพ และชิ้นส่วนศพเพิ่มมากขึ้น จึงต้องประกอบร่างให้ครบทุกชิ้นส่วนก่อนปล่อยศพให้ญาติ ส่วนแรงงานต่างด้าวที่เป็นแรงงานแฝง ได้รับประสานจาก กทม.ว่ามีญาติบางส่วนที่ประเทศเมียนมา แต่ไม่สามารถเดินทางมาได้ ทำให้มีศพบางส่วนไม่สามารถยืนยันได้ พฐก.จึงจะประสานสถานทูตเก็บตัวอย่าง DNA จากญาติที่ประเทศเมียนมา เพื่อนำมาตรวจพิสูจน์อีกครั้ง และบางศพญาติรอรับพร้อมศพอื่นที่ยังไม่เจอจากภายในซากอาคาร
นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ปัจจุบันภารกิจในการรื้อถอนเศษโครงสร้างอาคารสามารถทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น เนื่องจากสามารถลดระดับความสูงของเศษซากอาคารจากเดิมประมาณ 26 เมตร เหลือประมาณ 13 เมตร และได้เพิ่มจำนวนรถบรรทุกสำหรับขนเศษซากอาคารออกจากพื้นที่จาก 14 คัน เป็น 22 คัน ส่งผลให้สามารถเพิ่มจำนวนรอบในการลำเลียงเศษซากอาคารได้มากกว่า 170 เที่ยว/วัน ส่วนของเงินเยียวยาผู้เสียหายหรือญาติจากเหตุอาคารถล่ม วันที่ 18 เม.ย.นี้ ปภ.จะมอบเงินเยียวยารอบแรกให้ผู้ที่ได้รับใบรับรองแล้ว รายละประมาณ 100,000 บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศไว้ ส่วนผู้ที่บาดเจ็บ กรุงเทพมหานครและ ปภ.จะชดเชยค่ารักษาพยาบาลให้แบบเต็มจำนวน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘กทม.’ปิดจ๊อบ รื้อซากตึกสตง. ‘13พ.ค.’ทำบุญ
กทม.เร่งเคลียร์เศษปูนตึก สตง. ก่อนปิดจ๊อบในวันที่ 15 พ.ค. หลังค้นหามา 48 วัน
โพลประจานชัด 76%ชี้รบ.เหลว ต่อสู้ภาษีทรัมป์
ผลโพลประจานฝีมือแก้เศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
บ้านใหญ่กวาดเรียบ เลือกตั้ง‘นายกเล็ก-สท.’ ปชน.หมดสภาพพ่ายยับ
ประธาน กกต.ตั้งเป้าใช้สิทธิ 70% เผยมีคดีร้องเรียนแล้ว 352 เรื่อง “ระพีพงษ์”
นายกฯเตรียมบินเวียดนาม ยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้า
นายกฯเตรียมบิน ฮานอยประชุมร่วม ไทย–เวียดนาม พร้อมแถลงการณ์ร่วมยกระดับความสัมพันธ์สู่หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งการเมือง–เศรษฐกิจ–นวัตกรรมในภูมิภาค
เลือกตั้งเทศบาลซื้อเสียงกันเดือด
โกงกันเดือด! ประธาน กกต.ลงพื้นที่ประจวบฯ-เพชรบุรี ตรวจความพร้อมก่อนเลือกตั้งเทศบาล ล่าสุดมีคำร้องทั่วประเทศ 338 เรื่อง เป็นเรื่องซื้อเสียง-ให้เงิน
มันกลับมาแล้ว โควิดระบาดซํ้า ห่วง‘เปิดเทอม’
กลับมาแล้ว! รัฐบาลเตือนโควิดพุ่ง 8 พันรายภายในหนึ่งสัปดาห์ ห่วงใกล้เปิดเทอม ระบาดหนักกว่าไข้หวัดใหญ่ 2 เท่า เปิด 4 ข้อปฏิบัติหยุดเชื้อกระจาย