ผวาป่วนยื้อปรับครม. อิ๊งค์นิ่งสยบพท.ทวงสัญญา6เดือน/บี้แพทยสภาไม่อุ้มชั้น14

ปรับ ครม.นิ่ง! นายกฯ ยังไม่ส่งสัญญาณให้พรรคร่วมฯ ชี้คนใน พท.เขย่ากระแสหวังเปลี่ยนตัวนั่งเก้าอี้ "รมต." เหตุครบ 6 เดือนตามสัญญาต่างตอบแทน "ภูมิธรรม” แจงจับมือ  “เสี่ยหนู” เป็นความสัมพันธ์อันดี "ชูศักดิ์" เชื่อสถานการณ์คลี่คลาย พร้อมทำความเข้าใจสมาชิก พท. บอกยึดตามคำ "อิ๊งค์" อนิจจังไปก่อน กางคณิตศาสตร์การเมืองเขี่ย "ภท." ออกไม่มีรัฐบาลไหนเสี่ยงไปตายดาบหน้า "เท้ง" ยัน "ปชน." ไม่ร่วม รบ.สมัยนี้แน่ แย้มเดินหน้ารออภิปรายงบฯ 69 มอบ "ศิริกัญญา" หัวเรือใหญ่  "คปท." บุกแพทยสภาจี้เร่งสรุปปมรักษา "ทักษิณ" ชั้น 14 ขออย่าตัดตอน

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 แหล่งข่าวจากรัฐบาลกล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีว่า ภายหลังที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศยังไม่มีการปรับ ครม.ไปเมื่อวันที่ 22 เมย.ที่ผ่านมา ล่าสุดสถานการณ์ขณะนี้ยังนิ่ง และนายกฯ ยังไม่ได้แจ้งเรื่องปรับ ครม.ให้แก่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลรับทราบแต่อย่างใด เช่นเดียวกับรัฐมนตรีในขณะนี้ก็ยังไม่อยากให้ปรับ ครม. เพราะขอโอกาสทำงานแก้ปัญหาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง 

ถามว่า น่าจะมีการปรับ ครม.ช่วงไหน แหล่งข่าวจากรัฐบาลระบุว่า เชื่อว่านายกรัฐมนตรีกำลังพิจารณาความเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมและปัญหาความขัดแย้งตามมาในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย

"กระแสข่าวการปรับ ครม.ที่เกิดขึ้นมาจากคนในพรรคเพื่อไทยที่ต้องการเข้ามา เพราะครบระยะเวลา 6 เดือน ตามสัญญาต่างตอบแทน รวมถึงคีย์แมนคนสำคัญในพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค ก็อยากใช้โอกาสนี้กลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรี" แหล่งข่าวจากรัฐบาลระบุ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ตอบคำถามกรณีภาพเดินจับมือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ โดยนายภูมิธรรมหัวเราะก่อนกล่าวว่า ตนกับนายอนุทินทำงานร่วมกันมาอย่างดี เมื่อวันที่ 22 เม.ย. เราประชุมเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ร่วมกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เนื่องจากนายกฯ ห่วงใยในเรื่องเงินค้างจ่าย โดยการประชุมครั้งนี้นายกฯ พึงพอใจ เพราะทุกคนสามารถดำเนินการได้ทั้งหมด และเชื่อว่าเงินทั้งหมดจะถูกใช้ภายในเดือน ก.ย.68

"ปกติเราจะเดินคุยกัน จับไม้จับมือกันอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดา เป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ส่วนเรื่องอื่นเป็นแต่ละเรื่องแต่ละราวไป" นายภูมิธรรมกล่าว

ถามถึงการปรับพรรคร่วมฯ ออกอาจจะไม่มี แต่การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในกระทรวงต่างๆ อาจจะมีใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า นายกฯ บอกไปแล้วว่ายังไม่คิด ณ ตอนนี้ แต่เมื่อวันที่ 22 เม.ย. นายกฯ ให้สัมภาษณ์บอกว่าจะกลับไปคิด ถือเป็นข้อมูลหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าท่านจะปรับ แต่เท่าที่ตนทราบ ในหมู่รัฐมนตรียังไม่มีการพูดคุยกันว่าจะต้องถูกปรับ

ซักว่าประชาชนไม่พอใจเรื่องปัญหาราคาสินค้า หากไม่ปรับ ครม.จะช่วยดึงคะแนนของพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า  ต้องดูข้อเท็จจริงว่ามีเหตุผลอย่างไร อยู่ที่ดุลยพินิจของนายกฯ ซึ่งนายกฯ พูดคุยกับหลายฝ่ายอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกันทั้งหมด

ขณะที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องปรับ ครม.เมื่อผู้นำพูดในทำนองนี้ตนเข้าใจว่าจะทำให้เหตุการณ์คลี่คลายลง และหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายต่างยืนยันยินดีสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ที่ผ่านมาแค่ผิดคิว ซึ่งก็ว่ากันไป ขณะนี้สถานการณ์มีความเข้าใจกันดีขึ้น เมื่อนายกฯ ในฐานะผู้นำและมีอำนาจปรับ ครม.พูดอย่างนี้ พรรคไหนก็ไม่น่าจะมีปัญหา

ถามว่า สมาชิกพรรค พท.อยากให้เปลี่ยนกระทรวงเกี่ยวกับการค้าขาย เมื่อเป็นอย่างนี้จะทำให้คนในพรรคผิดหวังหรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องภายในที่ต้องคุยกัน ตนเข้าใจว่าเป็นเรื่องเสียงสะท้อนของสมาชิกในพรรคที่มองว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องใช้มาตรการในการแก้ปัญหา ไม่ควรปล่อยให้เป็นอย่างนี้ แต่เมื่อนายกฯ พูดอย่างนี้แล้วผู้มีหน้าที่ก็ต้องช่วยกันอย่างเต็มที่ จะทำอย่างไรให้ราคาสินค้าดีขึ้น

ซักว่าได้มีการวิเคราะห์กันภายในหรือไม่ว่าหากมีการปรับพรรค ภท.ออก จะทำให้รัฐบาลเกิดเสียงปริ่มน้ำ และทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นขี่คอพรรค พท. นายชูศักดิ์กล่าวว่า พูดกันตรงไปตรงมา มันมีคณิตศาสตร์การเมือง เราเห็นตัวเลขกันอยู่ว่าถ้าเอาพรรคนั้นออกจะเหลือตัวเลขเท่าไหร่ มันเป็นคณิตศาสตร์ทางการเมืองที่เกี่ยวโยงกับสถานการณ์ทางการเมือง ความมั่นคงทางการเมือง คนที่เขาทำงานการเมืองต้องเอาเรื่องนี้มาดูมาวิเคราะห์ว่าควรจะเป็นอย่างไร

ปรับ ครม.อนิจจังไปก่อน

"สำคัญที่สุดคือไม่มีรัฐบาลไหนที่เสี่ยงจนถึงขั้นไปตายเอาดาบหน้า ทางการเมืองถือว่าเสี่ยงเกินไป ฉะนั้นถ้าทำอะไรให้เรียบร้อย พอจะไปกันได้ก็ต้องว่ากันไป" นายชูศักดิ์กล่าว

ย้ำว่าต้องทนๆ กันไปอย่างนี้ใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์หัวเราะก่อนกล่าวว่า อันนี้เราพูดไม่ได้หรอก แต่พูดได้ว่าขณะนี้เป็นอย่างนี้ แต่ในทางการเมืองก็ต้องดูกันต่อไป

รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า จะมีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ช่วงวันที่ 28-30 พ.ค. ขณะเดียวกัน จะมีการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) อีก 2 ฉบับ คือ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 และ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ซึ่งไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะสถานการณ์การเมืองคลี่คลายแล้ว

ถามว่า คิดว่าจะมีการโหวตล้ม พ.ร.บ.งบประมาณฯ หรือไม่ โดยเอาเรื่องความขัดแย้งมาต่อรอง รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า การโหวตล้มงบประมาณเป็นเรื่องใหญ่มาก ตนว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้น มันเดินไปได้ บริหารบ้านเมืองกันไป ทำนโยบายให้สำเร็จ ซึ่งท่านนายกฯ ว่าอย่างนี้

พอถามว่า นายกฯ ระบุว่าใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง นายชูศักดิ์กล่าวว่า การเมืองก็แบบนี้ ต้องดูกันไปว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร การเมืองต้องดูเป็นช็อตเป็นช็อตไป เมื่อถามว่ามีโอกาสปรับ ครม.หลังผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณฯ ใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า อันนี้ต้องดูสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับนายกฯ ท่านบอกว่ายังไม่ปรับ ยังไม่คิดอะไร ก็เป็นไปตามนั้น อนิจจังไปก่อน

ด้านนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงกระแสข่าวรัฐบาลจะผลักพรรค ภท.ออกแล้วเอาพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เข้าไปแทนว่า เป็นสิ่งที่พรรค พท.ต้องตัดสินใจ หากจะมองต่อไปในเรื่องสมการและตัวเลขทางการเมือง หรือจำนวน สส.ของฝ่ายค้าน ก็ยังมีส่วนของคดี 44 สส.ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อ 25 สส.ของพรรค ปชน.ที่อยู่ในสภาด้วย และตัวแปรนี้ก็อาจส่งผลกระทบทางการเมือง

ถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเอาพรรค ภท.ออก แล้วเอาพรรค ปชน.เข้าไปแทน นายณัฐพงษ์มองว่า ไม่น่าเป็นไปได้อยู่แล้ว เรื่องนี้น่าจะตอบได้ค่อนข้างชัด เพราะที่ผ่านมาตนยืนกรานไปหลายครั้งว่าในสภาชุดนี้พรรค ปชน.จะไม่เข้าร่วมรัฐบาล

ซักว่ามีการเจรจาเบื้องลึกเบื้องหลังกับพรรค พท.หรือไม่สำหรับการเลือกตั้งรอบหน้า นายณัฐพงษ์ยืนยันว่า ตอนนี้ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาลใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงพรรคอื่นด้วยก็ไม่มีการพูดคุยกัน เพราะก่อนก็จะมีการพูดคุยกันเรื่องนี้น่าจะอยู่ในช่วงใกล้การเลือกตั้งครั้งหน้า ที่จะต้องหารือกันเรื่องจุดยืน อุดมการณ์ทางการเมือง และจุดยืนในการดำเนินนโยบายต่างๆ

"ตอนนี้ยืนยันพรรค ปชน.ไม่มีทาง ไม่เคยมีโอกาสเข้าไปคุย และไม่คิดจะเข้าไปคุย" นายณัฐพงษ์กล่าว

หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าวถึงการเตรียมเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ในช่วงวันที่ 28-30 พ.ค.ว่า ได้เตรียมความพร้อมแล้ว มีการแบ่งหน้าที่ให้สมาชิกว่าใครจะอภิปรายเรื่องอะไร โดยมี น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ปชน. เป็นผู้เตรียมเนื้อหาให้กับสมาชิกทุกคน พรรคจึงมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการอภิปราย เพื่อส่งข้อเสนอไปยังรัฐบาลว่างบประมาณปี 2569 ควรจะจัดสรรอย่างไรให้ตอบโจทย์ประเทศมากที่สุด

"ปัญหาในการจัดสรรงบประมาณคือการไม่ตอบโจทย์ประเทศในอนาคตมากกว่า เพราะบริบทของโลกและสถานการณ์ของประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป พรรคจะมีข้อเสนออะไรใหม่ๆ โดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจ และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรที่จะอภิปรายงบประมาณในส่วนนี้ เพราะคนใช้แรงงานและเกษตรกรต้องการรอฟังคำตอบว่าจะสรรงบฯ อย่างไรที่จะตอบโจทย์" หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าว

ถามว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยอมรับหากในสมัยวิสามัญพิจารณางบประมาณฯ ปี 2569 รวมถึงร่าง พ.ร.ก. 2 ฉบับเสร็จสิ้นแล้ว ยังสามารถพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ต่อได้ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า น่าจะยังเร็วเกินไป เพราะผลการศึกษาเรื่องความเสี่ยง อย่างเรื่องการฟอกเงินและการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน รวมถึงปัญหาที่จะตามมา อย่างการติดการพนันน่าจะต้องระยะเวลามากกว่านี้ในการศึกษาอย่างรอบด้าน

"เห็นว่ารัฐบาลไม่ควรหยิบขึ้นมาในพิจารณา  อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ยังถือเสียงข้างมาก แต่ความเห็นของพรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องนี้ยังแตกต่างกันอยู่ จึงคิดว่าพรรค พท.น่าจะมีบทเรียนที่พยายามจะผลักดันเข้าสภา แต่สุดท้ายพรรคร่วมไม่เห็นด้วย ก็ไม่ควรจะรีบเร่งจนเกินไป" นายณัฐพงษ์กล่าว

ม็อบบุกแพทยสภาสรุปชั้น 14

วันเดียวกัน นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) และเครือข่ายกองทัพธรรม จัดขบวนรถมอเตอร์ไซค์เดินทางมาที่อาคารมหิตลาธิเบศร  กระทรวงสาธารณสุข เข้ายื่นหนังสือถึงแพทยสภา เรื่องอย่าให้มีการทุจริตต่อจริยธรรมทางการแพทย์ กรณีการรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เป็นไปตามหลักการแพทย์หรือเอื้อประโยชน์หรือไม่

นายพิชิตกล่าวว่า ที่เดินทางมาแพทยสภาเพื่อเรียกร้องให้แพทยสภารีบทำการสรุปข้อเท็จจริงทางการแพทย์เกี่ยวกับการเจ็บป่วย และการรักษานายทักษิณ การสรุปเรื่องนี้คิดว่าไม่ควรเนิ่นนานกว่านี้ เพราะการป่วยหรือไม่ป่วย หรืออาการวิกฤตหรือไม่วิกฤตนั้น สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์อยู่แล้ว จึงขอให้แพทยสภารีบสรุป และยืนอยู่บนหลักการจริยธรรม จรรยาบรรณแพทย์

นายพิชิตกล่าวว่า นอกจากนี้ยังขอเรียกร้องให้อนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงที่มี ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี เป็นประธาน ได้ทำหนังสือเชิญนายทักษิณมาให้ข้อมูลด้วย เพราะถือเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ส่วนจะมาให้ข้อมูลหรือไม่ ก็ถือว่าได้ทำหนังสือเชิญไปแล้ว แต่หากไม่ได้เชิญมาให้ข้อมูล อาจจะเป็นช่องว่างที่ทำให้หยิบยกมาฟ้องศาลปกครองได้ว่าการสืบสวนสอบสวนไม่รอบด้าน ไม่ครอบคลุมผู้เกี่ยวข้อง ในอดีตเคยมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งศาลตีความว่าการสืบสวนสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย

"การที่แพทยสภาเลื่อนการพิจารณาเรื่องนี้ออกไปจากวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา อ้างว่ามีเอกสารจาก รพ.ตำรวจและ รพ.ราชทัณฑ์มาเพิ่มนั้น ผมมองว่าเป็นการช่วยกันถ่วงเวลาให้เนิ่นนานหรือไม่ เพราะข้อเท็จจริงทางการแพทย์เป็นเรื่องที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป่วย 4 โรคที่กล่าวอ้างนั้น มีหลักฐานทางการแพทย์ทั้งในอดีตและปัจจุบันที่พิสูจน์ทราบได้อยู่แล้ว การถ่วงเวลา 180 วันกว่าจะส่งนั้นเป็นการตีความกฎหมายคนละมุม ผมคิดว่าแพทยสภามมีอำนาจในการเร่งเรื่องนี้ได้" นายพิชิตกล่าว

ถามว่า หากผลการสืบสวนสอบสวนของแพทยสภาออกมาแล้ว ทาง คปท.และเครือข่ายจะยอมรับทั้งหมดหรือไม่ นายพิชิตกล่าวว่า ส่วนหนึ่งอยู่ที่ชุดคำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งปรากฏค่อนข้างชัดเจนทางสังคมอยู่แล้ว บนข้อห่วงใยของเราคือป่วยวิกฤตจริงหรือไม่ มีการตรวจสอบแล้วที่ รพ.ราชทัณฑ์จริงหรือไม่ ตรงนี้ต้องมีคำอธิบายทางการแพทย์ที่ชัดเจน แล้วตลอด 180 วันมีพฤติกรรมที่ขัดกับหลักของผู้ป่วยวิกฤต เช่นไปเอ็มอาร์ไอมีการเจาะไหล่ ซึ่งแพทย์จากที่อื่นๆ ก็ยังมองออกว่าไม่ใช่การเจ็บป่วยระดับวิกฤต ดังนั้นแพทยสภาต้องมีคำอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดว่าแพทย์ที่ทำการรักษานั้นมีการรักษาอย่างไรบ้าง

แกนนำ คปท.กล่าวว่า กรณีมีการพักโทษเป็นกรณีพิเศษหลังการรักษาแล้วบอกว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ใส่เสื้อผ้าเองไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องมีคำอธิบายทางการแพทย์ให้ชัดเจนเหมือนกัน เพราะการป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นั้นไม่ได้วัดกันแค่วันเดียว แต่ต้องดูพฤติกรรมก่อนหน้าสะสมมาตั้งแต่ต้นว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มาเนิ่นนาน แต่ลักษณะของนายทักษิณที่ปรากฏอยู่ในสังคมปัจจุบัน ไม่ใช่บุคคลที่ป่วยวิกฤตจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

 “ถ้ามีคำอธิบายที่ชัดเจน เป็นวิทยาศาสตร์ ผมคิดว่าสังคมรับได้ เพียงแต่ว่าอย่าตัดตอนคำอธิบายว่าเป็นแค่การทำตามขั้นตอน การอธิบายเช่นนี้ แต่ขั้นตอนทางการแพทย์ที่มีการเลือกปฏิบัติ ก็จะทำให้เกิดข้อสงสัยในวิชาชีพแพทย์ได้” แกนนำ คปท.ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ลาก‘ภท.’เอี่ยวฮั้วสว. ปูด10ชื่อทั้งรมช.พณ.-อดีตสส./สีน้ำเงินชงคุ้ยตัวสำรองด้วย

สภาสูงเรียงหน้าเข้ารับทราบข้อหาจาก กกต.คดีฮั้ว ลั่นไร้กังวลพร้อมชี้แจง “สิทธิกร” ข้องใจดีเอสไอ ต่อไปการเลือกตั้งทุกแบบมีอำนาจตรวจสอบ

นายกฯ รับรายงาน อินโดฯ จับเรือประมง 'Aungtoetoe99' ขนยาเสพติด ยันไม่ใช่เรือไทย

นายกฯ รับทราบรายงานเรือประมง 'Aungtoetoe99' โดนจับขนยาเสพติดที่อินโดฯ ศรชล. ยันไม่ใช่เรือไทย ย้ำรัฐบาลร่วมมือกับทุกประเทศจัดการกับผู้กระทำความผิดในทุกมิติ