22 มิ.ย.2566 - จากกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครบ 500 คน ส่งผลให้ต้องเปิดประชุมสภาสมัยสามัญครั้งแรกภายใน 15 วันนับแต่วันที่ กกต.ประกาศรับรอง ประเด็นปัญหาที่มองข้ามช็อตว่า บุคคลใดที่จะมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามรัฐธรรมนูญมีที่มาอย่างไร มีระยะเวลาในการเลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่ อย่างไร จึงต้องไปหาคำตอบจากกูรูผู้เชี่ยวชาญรัฐธรรมนูญที่จะมาไขปัญหาและให้ความรู้กฎหมายมหาชนแก่พี่น้องประชาชน
ล่าสุด ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฎฐ์” มือกฎหมายมหาชนคนดัง โดยได้อธิบายและให้ความรู้ด้านกฎหมายมหาชน ถึงกระบวนการที่มานายกรัฐมนตรี คุณลักษณะต้องห้าม หลักเกณฑ์การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและระยะเวลาในการเลือกนายกรัฐมนตรี ว่า สำหรับกระบวนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี พี่น้องประชาชนจะต้องทราบถึงที่มานายกรัฐมนตรีก่อนว่า มีทีมาอย่างไรเพื่อทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ สำหรับที่มาของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหาร ตามโครงสร้างระบบรัฐสภา มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน กำกับ ควบคุมนโยบาย ตลอดจนยุทธศาสตร์ชาติ รัฐธรรมนูญ 2 ฉบับที่ผ่านมา ได้บัญญัติที่มาของนายกรัฐมนตรีแตกต่างกันกับฉบับปัจจุบัน ตนจะเทียบรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับให้ฟัง จะได้เห็นถึงความแตกต่าง การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 201 วรรคสอง นายกรัฐมนตรี ต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สำหรับ รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 171 วรรคสอง นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา 172 พอที่จะอธิบายได้ว่า บุคคลผู้ที่จะดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีได้นั้นต้องเป็น”สมาชิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่มิได้กำหนดเป็นเงื่อนไขว่า ต้องเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนหรือแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง แตกต่างจากรัฐธรรมนูญ 2560 ได้กำหนดที่มาของนายกรัฐมนตรีไว้ตาม มาตรา 158 วรรคสอง นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 จึงมีความแตกต่างจากรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับก่อนหน้านี้ อย่างมีนัยยะสำคัญต่อที่มานายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
สำหรับ การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสอง นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติดังกล่าว มิได้บัญญัติให้นายกรัฐมนตรี ต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาเหมือนเช่นบทบัญญัติแห่งรับธรรมนูญฉบับก่อนหน้านั้น ส่งผลให้คุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่จำเป็นอีกต่อไป ดังนั้น ในส่วนนี้ นายกรัฐมนตรีจึงเป็น “บุคคลภายนอกสภาผู้แทนราษฎร” ได้ ภาษาชาวบ้านที่เรียกว่า “นายกรัฐมนตรีคนนอก”
ในอดีตรัฐธรรมนูญ 2534 ได้บัญญัติที่มาของนายกรัฐมนตรีคนนอก ที่ไม่ได้ยึดโยงประชาชนเพราะไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงเกิด กรณีไฮแจคตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นที่มาของการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีกลางอากาศ โดย ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานรัฐสภา ขณะนั้น ได้เปลี่ยนรายชื่อทูลเกล้าฯจาก พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคขาติไทย ในขณะนั้น เปลี่ยนเป็น นายอานันท์ ปันยารชุณ นายกรัฐมนตรี แทน แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติที่มาของนายกรัฐมนตรีแตกต่างจากอดีตนายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบทำให้ประธานรัฐสภาไม่อาจเปลี่ยนโผได้ หมายความว่า ที่ประชุมรัฐสภามีมติเสียงข้างมาก 376 เสียง โหวตเลือกบุคคลใด เป็นนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภาจะต้องเสนอบุคคลนั้น เป็นนายกรัฐมนตรี จะใช้เทคนิคเหมือนกับ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานรัฐสภา ขณะนั้น ย่อมกระทำไม่ได้เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญ
เงื่อนไขหลัก เสนอบุคคลใดแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 5 เงื่อนไข ดังนี้
(1) สภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นผู้พิจารณาแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี โดยพิจารณาบุคคลที่มีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 160 (มาตรา 159 วรรคแรก)
(2)ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ต้องเป็นผู้ที่พรรคการเมืองเสนอชื่อไว้ในบัญชีตามมาตรา 88 (มาตรา 159 วรรคแรก) กล่าวคือ ในการเลือกตั้งทั่วไป ให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแจ้งรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคการเมืองนั้นมีมติว่าจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไม่เกินสามรายชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศรายชื่อบุคคลดังกล่าวให้ประชาชนทราบ
(3) บุคคลที่ถูกเสนอชื่อจากพรรคการเมืองนั้นต้องมี ภายใต้เงื่อนไข สมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 159 วรรคแรก)
(4) การเสนอชื่อบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 159 วรรคสอง)
(5)มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 159 วรรคท้าย)
นอกจากนี้ ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ได้กำหนดประเด็นการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีไว้ในบทเฉพาะกาล มาตรา 272 แบ่งเป็น 2 กรณี คือ
(1) ในกรณีที่มีมติให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 272 วรรคแรก) กำหนดให้การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
หมายความว่า ในวาระแรกให้สมาชิกรัฐสภาประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 500 คน และสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 250 คน รวมสมาชิกทั้งสองสภา เป็นจำนวนทั้งสิ้น 750 คน ดังนั้น ในส่วนของมติให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา จึงต้องได้มติจำนวน 376 เสียงขึ้นไป เพื่อแต่งตั้งบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
(2) ในกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ในกรณีเช่นนั้น ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน และในกรณีที่รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ ให้ดำเนินการตามวรรคหนึ่งต่อไป โดยจะเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 หรือไม่ก็ได้ (มาตรา 272 วรรคสอง)
การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนนอก ยกเว้นบัญชีพรรคการเมือง ตามมาตรา 272 วรรคสอง จะต้องดำเนินการ 2 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนแรก การเสนอชื่อต่อประธานรัฐสภาเพื่อขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นไม่ต้องเสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีกรณีตามมาตรา 88 นั้น จะต้องมีจำนวนสมาชิกทั้งสองสภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด กล่าวคือ ต้องได้จำนวนไม่น้อยกว่า 375 เสียง และ
ขั้นตอนที่สอง เมื่อขอเปิดประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้แล้วจะต้องได้มติไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมด กล่าวคือ ต้องได้มติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 500 เสียง
หากย้อนกลับไปดูคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กำหนดให้คณะรัฐมนตรี ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน (มาตรา 158 วรรคแรก) ดังนี้ เมื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติของรัฐมนตรี ที่เป็นส่วนหนึ่งของคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 160 คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับรัฐมนตรี ดังนี้
(1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
(2) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปี
(3) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
(4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
(5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
(6) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 โดยในส่วนนี้ รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ได้กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลมาตรา 264 วรรคสอง ยกเว้นมิให้นำบทบัญญัติมาตรา 98 (12) (13) (14) และ (15) มาใช้บังคับกับคณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง ทั่วไปครั้งแรก
(7) ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
(8) ไม่เป็นผู้เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือมาตรา 187 มาแล้วยังไม่ถึงสองปีนับถึงวันแต่งตั้ง
สำหรับประเด็นที่น่าสนใจ คือ ระยะเวลาในการเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นผลจากการที่พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งอันดับ 1 ไม่สามารถรวบรวมเสียงให้ครบ 376 เสียง ตามบทเฉพาะกาล ตามเงื่อนไขโหวตเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ปัญหาว่า มีระยะเวลาการพิจารณาแต่งตั้งผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญ 2540 ได้บัญญัติ มาตรา 202 วรรคแรก ให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาให้ความเห็นชอบ บุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกตามมาตรา 159 โดยมาตรา 203 กำหนดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งบุคคลซึ่งได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีกำหนดระยะเวลาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าว สำหรับรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 172 วรรคหนึ่ง ให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาให้ความเห็นชอบ บุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่ได้กำหนดเวลาไว้ แตกต่างจากรัฐธรรมนูญ 2540 แต่รัฐธรรมนูญ 2550 วิธีการเลือกนายกรัฐมนตรี ได้บัญญัติไว้ใน มาตรา 172 วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หมายความว่า แกนนำจับขั้วรัฐบาลเสียงข้างมากเกินกว่ากึ่งหนึ่ง 251 เสียง สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ทันที จึงไม่มีปัญหาเรื่องเสียงข้างมากในการเลือกนายกรัฐมนตรี สำหรับรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 159 วรรคหนึ่ง ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร แต่หากพิจารณาเงื่อนไขระยะเวลาในการเลือกนายกรัฐมนตรีกลับไม่ได้ระบุเวลาไว้เหมือนกับรัฐธรรมนูญ 2550 หากพิจารณาตัวแปรสำคัญ ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงระยะเวลาห้าปีแรกตามบทเฉพาะกาลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 วรรคหนึ่ง ให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภา 250 เสียง โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ หากโหวตนายกรัฐมนตรีไม่ผ่าน รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามให้บุคคลที่ถูกเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำอีก เป็นมิติใหม่ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘หมอเชิด’ สะกิดเตือน ‘เศรษฐา’ หมอคุมยาก เปลี่ยนตัว ‘รมว.สธ.’ เกิดปัญหาแน่
‘หมอเชิด’ แนะ’เศรษฐา’ฟังเสียงสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในฐานะคนที่ยกมือให้ด้วย พร้อมระบุหมอควบคุมยาก เปลี่ยนตัวรมว.สธ.เกิดปัญหาแน่
‘เศรษฐา’ ลุยสวน ชิมทุเรียน 3 สายพันธุ์
เมื่อเวลา 10.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เดินทางด้วยรถยนต์อัลพาร์ด สีดำ ทะเบียน 8 กผ 1127 กรุงเทพมหานคร ถึงสวนนวลทองจันทร์ ตำบลมาบไพ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เพื่อตรวจติดตามการผลิตทุเรียนคุณภาพปลอดภัยมูลค่าสูง และรับฟังปัญหาจากเกษตรกร
นิดเน้นปรับเก้าอี้ศก. คาด1-2วันสะเด็ดน้ำ/‘ธรรมนัส’กินรวบกระทรวงเกษตรฯ
โผ ครม.ใกล้สะเด็ดน้ำ นักการเมืองมีชื่อเข้า-ออก ดอดขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าพบ “เศรษฐา”
'หมอชัย' โนคอมเมนต์ นายกฯ ทาบ 'จักรพล' นั่งโฆษกรัฐบาล
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวที่นายกรัฐมนตรีทาบทามนายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
เตือนระวังคุก! 'ทักษิณ' ขยับทีไร คนเรือนจำหวาดผวา
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า นายทักษิณขยับเรือนจำผวา
'ไผ่' ไม่น้อยใจชวด รมต. รอนายกฯ ส่งกฤษฎีกาตีความ ลุ้นรอบหน้า
'ไผ่' ไม่น้อยใจ ชวด รมต. เผยนายกฯ จ่อส่งกฤษฎีกาตีความคุณสมบัติ ยังหวังคัมแบ็กปรับรอบหน้า ปัดบอกคดีความเรื่องอะไร