ภาคเอกชนห่วงตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าทำการเมืองสุญญากาศ ผวาม็อบผสมโรง ยิ่งกระทบเชื่อมั่นฉุดจีดีพี กกร.ยังคงเป้าปีนี้ 3- 3.5% ชี้เงินเฟ้อกระดูกชิ้นใหญ่ กดดันเศรษฐกิจไทยไม่ขยับ กังวลภัยแล้งสร้างความเสียหาย 3.6 หมื่นล้านบาท
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุม กกร.มองเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยท้าทาย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง จากล่าสุดปรับขึ้นอีก 0.25% เป็น 2% และมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อไป เนื่องจากเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับสูง เศรษฐกิจไทยยังอาจได้รับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มเติมจากการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่จะส่งผลกระทบต่อผลผลิตเกษตรและราคาสินค้าในระยะข้างหน้า รวมถึงหากมีการปรับขึ้นค่าแรงในอนาคต กกร.จึงยังคงประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 ไว้ที่ 3-3.5%
“กกร.มีความกังวลสถานการณ์ภัยแล้งเป็นเรื่องที่มีผลกระทบในระดับสูงต่อภาวะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาเอลนีโญในปีนี้ อาจสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ 36,000 ล้านบาท ดังนั้น กกร.ได้มีการทำหนังสือส่งถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2566 เสนอให้เร่งจัดทำมาตรการรับมือภัยแล้ง ทั้งในระยะเร่งด่วนและในระยะยาว และมองว่าปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสของประเทศ ภาครัฐควรบูรณาการแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว” นายผยงระบุ
ส่วนความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในหมวดอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัดส่วนค่าครองชีพของผู้บริโภคที่สูงขึ้นกว่าในอดีต และอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากปัญหาภัยแล้ง ซึ่งอัตราเงินเฟ้ออาจอยู่สูงต่อเนื่องจากการส่งผ่านราคาของผู้ประกอบการจากภาระต้นทุนที่อยู่ในระดับสูง และมีปัจจัยที่อาจกระทบต่อเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ได้แก่ แนวโน้มค่าแรงขั้นต่ำที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวัน อาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นถึง 0.82% ถ้าไม่มีการเพิ่มทักษะแรงงานและผลิตภาพแรงงานให้เหมาะสมไป
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านราคาน้ำมันดีเซลที่อาจเพิ่มสูงขึ้น หากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาทสิ้นสุดลงในวันที่ 20 ก.ค.2566 ซึ่งเป็นต้นทุนค่าขนส่งของผู้ประกอบการ ปัจจัยเหล่านี้จะกดดันต้นทุนของทั้งผู้ประกอบการและครัวเรือน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจซ้ำเติมต้นทุนของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ดังนั้นมองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. จะต้องรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และไม่ทั่วถึง เพื่อช่วยพยุงให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ยังต้องติดตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งติดลบติดต่อกัน 7 เดือน ทำให้คำสั่งซื้อลดลง แต่ภาคอุตสาหกรรมยังคงต้องมีการรักษาการผลิต เพื่อพยุงการจ้างแรงงานให้ไม่ได้รับผลกระทบ หากการส่งออกยังไม่มีการฟื้นตัว อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยมี 19 กลุ่มอุตสาหกรรม จาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรกล เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังเป็นเครื่องยนต์หลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในขณะนี้ ประเทศไทยมีโอกาสในการดึงดูดนักธุรกิจจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนและทำงานเป็นฮับมากขึ้น จากอานิสงส์ของความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิต เนื่องจากไทยถือเป็นเป้าหมายของนักลงทุนทั่วโลก ดังนั้น ภาครัฐควรมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุน โดยเฉพาะการปฏิรูปกฎหมาย กฎระเบียบเพื่อยกระดับความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ เช่น การปรับปรุงปฏิรูปการขอวีซ่าให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นต้น
"ภาคเอกชนอยากให้การจัดตั้งรัฐบาลเสร็จโดยเร็ว เพื่อจะได้ไม่เกิดภาวะสุญญากาศ อยากให้สถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากกว่านี้ ภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางไม่เกิดการสะดุด แต่เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ กกร.ได้ประเมินผลกระทบไว้ในคาดการณ์อยู่แล้ว หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าออกไปกว่าที่ควรจะเป็น คงบอกระดับความเสียหายไม่ได้ แต่ผลที่เกิดขึ้นจะสะท้อนให้เห็นจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ" ประธาน กกร.ระบุ
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ต้องการเห็นการจัดตั้งรัฐบาลให้เป็นไปตามไทม์ไลน์ภายในเดือน ส.ค.นี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนและการบริโภค หากมีความล่าช้าออกไป 2-3 เดือน และเกิดสถานการณ์รุนแรง เช่น มีการประท้วง จะกระทบต่อกรอบการเติบโตของจีดีพีอาจเหลือเพียงร้อยละ 2-2.5% รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ที่ลดลง ซึ่งระหว่างนี้อยากเห็นรัฐบาลรักษาการออกมาตรการดูแลที่จะลดค่าครองชีพของประชาชน และดูแลต้นทุนผู้ประกอบการเพื่อให้ประคองตัวเองได้
สำหรับช่วงนี้มีเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่หวังพึ่งได้แค่ 2 ตัว คือการท่องเที่ยว แต่ยังมีความเปราะบางเกี่ยวกับความปลอดภัยและความสะดวกสบาย กับการบริโภคภายในประเทศ ด้วยการลดค่าใช้จ่าย เพิ่มกำลังซื้อ แม้จะมีข้อจำกัดก็ตาม ส่วนการส่งออกที่ชะลอตัวลงนั้น ผู้ผลิตก็หวังพึ่งกำลังซื้อในประเทศมาทดแทน ขณะเดียวกันก็ต้องระวังการทุ่มตลาดของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศผ่านการค้าออนไลน์.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พปชร.ขับก๊วนธรรมนัส ตัดจบที่ดิน‘หวานใจลุง’
"บิ๊กป้อม" ไฟเขียว พปชร.มีมติขับ 20 สส.ก๊วนธรรมนัสพ้นพรรค "ไพบูลย์" เผยเหตุอุดมการณ์ไม่ตรงกัน
พ่อนายกฯเคลียร์MOUสยบม็อบ
อิ๊งค์พร้อม! จัดชุดใหญ่แถลงผลงานรัฐบาล ลั่นรอจังหวะไปตอบกระทู้
รบ.อิ๊งค์ไม่มีปฏิวัติ! ทักษิณชิ่งสั่งยึดกองทัพ เหน็บอนุทินชิงหล่อเกิน
"ทักษิณ" โบ้ยไม่รู้ "หัวเขียง" ชงแก้ร่าง กม.จัดระเบียบกลาโหม
ศาลรับคำร้อง ให้สว.สมชาย หยุดทำหน้าที่
ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง “สมชาย เล่งหลัก” หยุดปฏิบัติหน้าที่ สว.
คิกออฟแพ็กเกจแก้หนี้ ลุ้นบอร์ดขึ้นค่าแรง400
นายกฯ เผยข่าวดี ครม.คลอดชุดใหญ่แก้หนี้ครัวเรือน "คลัง-แบงก์ชาติ"
เร่งตั้ง‘สสร.’ให้ทันปี70
รัฐสภาจัดงานวันรัฐธรรมนูญคึกคัก แต่พรรคประชาชนเมินเข้าร่วม