ภาคประชาสังคมผนึกกำลังกู้วิกฤตโลกร้อน ชี้กลุ่มเปราะบางเสี่ยงรับผลกระทบมากสุด

ในโอกาสวันสิทธิมนุษยชนสากล ปี 2567 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมมือกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และภาคีเครือข่าย จัดงานประชุมระดับชาติที่มุ่งแก้ไขวิกฤตโลกร้อน และปัญหาโลกรวนที่กำลังทวีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในกลุ่มเปราะบาง เช่น สิทธิในชีวิต สุขภาพ และอาหาร

การประชุมครั้งนี้เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยเน้นความจำเป็นในการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นธรรมและยั่งยืน เพื่อให้เกิดการจัดการปัญหาในระดับนโยบายที่ครอบคลุมทุกมิติ โดยเฉพาะกับกลุ่มประชากรที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เช่น เด็ก เยาวชน ชนเผ่าพื้นเมือง เกษตรกร และคนยากจน

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โลกกำลังเผชิญกับผลกระทบที่ชัดเจนและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งแวดล้อม: ระบบนิเวศในทะเลและแนวปะการังได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ระบบนิเวศขั้วโลกกำลังเผชิญการสูญเสียพื้นที่น้ำแข็ง และพื้นที่ชายฝั่งเสี่ยงต่อการถูกน้ำทะเลกลืนกิน

ทรัพยากรน้ำ: ความต้องการน้ำจืดเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่แหล่งน้ำใต้ดินลดลง ก่อให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรน้ำและการขาดแคลนน้ำในบางพื้นที่

ความมั่นคงทางอาหาร: ผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางอาหารอย่างรุนแรง

ดร. นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการ สสส. ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก่อให้เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น เช่น อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ภัยแล้งที่ยาวนานขึ้น  และพายุที่รุนแรงขึ้น ซึ่งล้วนกระทบต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพ และการดำรงชีพ

การแก้ปัญหานี้ต้องมุ่งสร้าง "ความเป็นธรรมด้านภูมิอากาศ" โดยจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและผลักดันร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นธรรมและยั่งยืน

ทั้งนี้ การดำเนินการที่สำคัญคือ สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล พัฒนาเครือข่ายภาคประชาสังคม เช่น Thai Climate Justice for All สร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ซึ่งภาครัฐและเอกชนมีบทบาทร่วมกันอย่างสำคัญ ในการร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากร เช่น น้ำและพลังงาน

ความสำคัญของการมีส่วนร่วมในระดับชุมชนและประชาสังคม

การจัดการปัญหาโลกร้อนจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงระดับประเทศ  การสร้างเครือข่าย “พลเมืองตื่นรู้กอบกู้วิกฤตโลกร้อน” ช่วยส่งเสริมการพัฒนาความรู้ การรณรงค์สาธารณะ และการออกแบบนโยบายจากฐานล่าง โดยมุ่งเน้นให้กลุ่มเปราะบางเข้ามามีบทบาทในการกำหนดทิศทาง

ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนแทนพลังงานฟอสซิล ในขณะเดียวกันรัฐบาลต้องสนับสนุนกองทุนที่ช่วยลดคาร์บอน และอุดหนุนธุรกิจขนาดเล็กในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้ยั่งยืน

การขาดการบูรณาการในระดับชาติ ส่งผลให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางต้องเผชิญปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และขาดแคลนทรัพยากรอย่างรุนแรง การดำเนินการที่ควรเร่งด่วน จึงน่าจะต้องจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อกำกับดูแลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมพลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี 2573 ตามกรอบสหประชาชาติ

ข้อเสนอเชิงนโยบาย: การร่างกฎหมายเพื่อความยั่งยืน

นางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการ กสม. ชี้แจงว่า  กฎหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุม และไม่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้จริง ร่างกฎหมายใหม่จึงควรมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง พร้อมตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระเพื่อกำกับดูแล

นอกจากนี้ ยังควรจัดตั้งสมัชชาพลเมืองด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมในระดับประชาชน และรวมข้อเสนอไปเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ความท้าทายในระดับโลกและบทบาทของประเทศไทย

ดร.กฤษฎา บุญชัย จากสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับที่ 20 ของโลก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล การลดการปล่อยก๊าซจึงต้องมุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล

ในปี 2567 ประเทศไทยต้องเร่งจัดทำแผนพลังงานใหม่ที่ลดการพึ่งพาฟอสซิล รวมถึงเพิ่มเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกให้ชัดเจน ทั้งนี้ หากไม่ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ประเทศจะต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ภัยแล้ง และการย้ายถิ่นฐานที่เพิ่มขึ้น

ประเทศไทยจำเป็นต้องมีนโยบายที่เข้มแข็งและครอบคลุมทุกมิติ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับสิทธิของกลุ่มเปราะบาง พร้อมทั้งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และที่สำคัญคือ การแก้ปัญหาโลกรวนไม่ใช่เพียงภาระของรัฐบาลหรือภาคเอกชน แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคม เราจำเป็นต้องผนึกกำลังและสร้างความตระหนักรู้ เพื่อก้าวไปสู่สังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืนสำหรับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รองนายกฯ ประเสริฐ มอบ สสส. ทำงานคู่ขนานรัฐ สื่อสารอันตรายบุหรี่ไฟฟ้า เตือนเสี่ยงป่วยซึมเศร้า-กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด สูงกว่าคนปกติ 2 เท่า และแจ้งเบาะแสแหล่งขาย

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ประธานการประชุมกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ครั้งที่ 3/2568 เผยมติที่ประชุมเห็นชอบโครงการสร้างเสริมสมรรถนะและขยายเครือข่ายเพื่อพัฒนางานควบคุมการบริโภคยาสูบทุกระดับ เป็นการป้องกันแก้ไขปัญหาบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าที่ระบาดหนักในกลุ่มเด็กและเยาวชนทุกพื้นที่ควบคู่ไปกับการทำงานของรัฐบาลอย่างเร่งด่วน

อึ้ง! โรค Stroke คร่าชีวิตคนไทยสูงเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็ง สสส. สานพลัง อบจ.ขอนแก่น ปักหมุด ชุมชนบ้านกุดโง้ง แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 มี.ค. 2568 ที่วัดเหนือสำโรง ชุมชนบ้านกุดโง้ง ต.หนองโน อ.กระนวน จ.ขอนแก่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

สสส. ร่วมกับ จุฬาฯ ร่วมรณรงค์ World Kidney Day สร้างการรับรู้ควบคู่การดูแล เร่งสื่อสารการใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงโรคไต

“วันไตโลก ปี 68” คนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังเพิ่มขึ้นจาก 9.8 แสนคน เป็น 1.13 ล้านคน สูญเสียปีสุขภาวะเร็วขึ้น 3.14 เท่า! เหตุบริโภคเค็ม-ใช้ยาไม่ถูกต้อง-เกินความจำเป็น เผยประชาชนเข้าใจเรื่องการใช้ยาที่ถูกต้องแค่ 64.9% สสส. สานพลัง จุฬาฯ สร้างการรับรู้ควบคู่การดูแล เร่งสื่อสารการใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงโรคไต

รวมพลังชุมชน ขับเคลื่อนการจัดการป่า ลดฝุ่นควัน สร้างสุขภาวะที่ดี

กรุงเทพฯ/12 มีนาคม 68 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน)หรือ พอช. จับมือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการ การขับเคลื่อนการจัดการป่าชุมชนเพื่อลดฝุ่นตวันและสร้างสุข

สสส.-พอช. ผนึกกำลัง 16 จังหวัด เดินหน้าป่าชุมชน ลดเผา-แก้ PM2.5 อย่างยั่งยืน

สสส. จับมือ พอช. และภาคีเครือข่าย เดินหน้าบริหารจัดการป่าชุมชน 60 แห่งใน 16 จังหวัดทั่วประเทศ เร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เสริมศักยภาพชุมชนลดการเผา พัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการจัดการป่าอย่างยั่งยืน มุ่งสู่สังคมอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพประชาชน

เปิด 'ยะลาโมเดล' ชวนฟังเคล็ดลับสร้างเมืองสุขภาพดี จากนายกฯ พงษ์ศักดิ์ ที่งาน Active City Forum

“ยะลา” เป็นพื้นที่พหุสังคม ที่มีความหลากหลายของเชื้อชาติและศาสนา ทั้งยังเป็นพื้นที่ซึ่งเคยเผชิญกับเหตุการณ์ความไม่สงบ ทว่าเมืองยะลาก็สามารถพัฒนาสู่เมืองสุขภาวะ